[CR] เที่ยวไปกินไป by laser @ ไชน่าทาวน์ : ไต่เสี่ยฮุกโจ้ว โจ๊กอาม่า เจ๊สี่ อึ้งเป็งชุง อื้อเล่งเฮง
หาร้านอาหารร้านหนึ่งแถววงเวียน 22 กรกฎาคมด้วยกูเกิ้ลแม็พ
ไปสะดุดตาร้านโจ๊กอาม่า เช็คเวลาขาย ขายตั้งแต่ตีสี่ถึงเก้าโมงเช้าทุกวัน
เปิดเช้าแบบนี้น่าจะมีดี เพราะมีคนไม่กินตั้งแต่ไก่ยังไม่ตื่นมาโห่ จวนเจียนจะไปหลายครั้ง
แต่ติดนี่นั่น คือ ติดเตียงนอน แต่วันเสาร์ที่ 27-3-21 ต้องไปซื้อดอกไม้ที่ปากคลองตลาด
7.39 น.ลงรถตรงข้าม “อวกซัมจิ่ง” หรือวัดสามจีน หรือวัดไตรมิตรฯ ระหว่างซอยสุกร 1 และ 2
ข้ามถนนไตรมิตร หรือถนนมิตรภาพไทย-จีน เพื่อไปเข้าตรอกสุกรไปออกถนนพระรามที่ 4
กลางตรอกสุกรฝั่งซอยมือ
เคยมีร้านโจ๊กเด็กขวัญใจนักเรียนโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย และโรงเรียนมหาวีรานุวัตร
แม้จะแวะมาหลายครั้งช่วงที่เจ๊แกป่วย จนเจ๊เสียชีวิต ก็ไม่มีโอกาสได้ชิม
ตรอกสุกรยาวประมาณ 50 เมตร ถึงถนนพระรามที่ 4 เลี้ยวซ้าย
แวะเก็บภาพศาลเจ้าเห้งเจีย หรือศาลเจ้าไต่เซี่ยฮุกโจ้ว ที่บูรณะเสร็จ 99.99 % แล้ว
ศาลเจ้าเห้งเจียแห่งนี้ น่าจะเป็นศาลเจ้าจีนที่ตั้งอยู่ภายในอาคารที่เล็กที่สุด ตั้งอยู่ในห้องแถว 1 ห้อง
อันเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดไตรมิตรฯ ด้านหลังเดินทะลุออกวัดไตรมิตรฯ ได้
งานประจำปีของศาลทุกวันที่ 13 กันยายน จัดในวัดไตรมิตรฯ มีขบวนแห่เล็ก ๆ และมีงิ้วแสดงถวายทุกปี
ถือเป็นศาลเจ้าเห้งเจียที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 เดิมตั้งอยู่ในวัดไตรมิตรฯ
ศาลเจ้าเห้งเจียเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม
ทางเท้าริมถนนตั้งศาลฟ้าดิน (ทีกง) จุดธูปไหว้หันหน้าออกถนน
ด้านนอกวาดลวดลายจีนลงสีสวยงาม
ผนังข้างประตูทางเข้าทั้งสองข้างแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ประดับภาพปูนปั้นนูนเรื่องราวของไซอิ๋ว
ฝั่งซ้าย
ฝั่งขวา
ยกมือไหว้ขออนุญาตไต่เซี่ยฮุกโจ้วถ่ายรูปแล้วก้าวเข้าไปในศาล
การถ่ายรูปภายในศาลเจ้าทุกแห่งนั้น ควรยกมือไหว้ขออนุญาตองค์เทพประธานของศาลก่อน
นอกจากเพื่อแสดงความเคารพแล้ว ยังเป็นการขออภัยหากมีสิ่งใดล่วงเกินโดยมิได้มีเจตนา
ผู้ดูแลศาลก็ให้ความเป็นมิตร สอบถามเรื่องราวก็ยินดีให้ข้อมูล
ศาลเจ้าเห้งเจียเป็นศาลเจ้าที่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้ แสดงความยินดีเชื้อเชิญให้ถ่ายรูป
ผู้จัดการศาลแม้จะเสียงดังหน้าดุ แต่อัธยาศัยดี
เมื่อก้าวเข้ามาภายในศาลเจ้า ทางขวามือ คือ เตาเผากระดาษทรงเจดีย์นิยม
เพื่อความปลอดภัยของผู้มาไหว้ที่จะโดนเตาลวก ปัจจุบันไม่ใช้เผากระดาษแล้ว
ทางซ้ายมือเป็นภาพขบวนเทวดาใต้ป้าย “ซัมจิ่ง” หรือสามจีนตามชื่อเดิมของวัดไตรมิตรฯ
เพราะมีชาวจีนซึ่งเป็นเพื่อนกัน 3 คน ได้ร่วมแรงร่วมใจสร้างวัดนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นศาสนสถาน
ที่จะใช้เป็นที่บำเพ็ญกุศล ภายหลังเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เมื่อพ.ศ.2482
https://travel.trueid.net/detail/m0gr288wBPQx
ผนังภายในศาลเจ้าเดิมมีแค่ภาพถ่าย ตู้ธูปเทียนและตู้ใส่ใบเซียมซี
แต่เมื่อบูรณะใหม่ย้ายออกหมด เพิ่มภาพวาดวรรณกรรมจีนไซอิ๋ว ภาพแรกซ้ายมือเล่าเรื่องกำเนิดเห้งเจีย
-เห้งเจีย หรือ ซุนหงอคง เป็นหนึ่งในตัวละครเอกเรื่องไซอิ๋ว เดิมเป็นหินที่ถูกแสงสุริยันจันทราอาบมากว่า 1,000 ปี
วันหนึ่งหินแตกแตก มีลิงขนทองตัวหนึ่งกระโดดออกมา ลิงตัวนั้นจึงได้ไปอยู่กับฝูงลิงที่เขาไม้ผล
(เขาฮวยก๊วย จีนกลางว่า เขาฮัวกั่ว) และตั้งตัวเป็นหัวหน้าฝูง บรรดาลิงในฝูงนับถือเป็นท่านอ๋อง
ฉายา “มุ้ยเกาอ๋อง” (พญาวานรโสภา) วันหนึ่ง ลิงตัวนี้เห็นลิงในฝูงตัวหนึ่งตายลงด้วยความแก่
จึงเกิดความคิดจะออกเดินทางไปหาวิชาที่จะไม่ทำให้เจ็บ ไม่ทำให้ตาย จึงออกจากฝูง
เดินทางเสาะแสวงหาผู้รู้ไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็พบกับนักพรตรูปหนึ่งนามว่า “โผเถโจ๊ซือ”
คือ พระอาจารย์โพธิ เมื่อนักพรตรับเป็นศิษย์ ได้ฝึกวิชาต่าง ๆ เช่น การแปลงกายที่แปลงได้ 72 ร่าง
ตีลังกาได้ไกลกว่า 100,000 ลี้ ยืด-หดตัวได้, ถอนขนเสกเป็นของต่าง ๆ ขี่เมฆวิเศษ เป็นต้น
พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า “ซึงหงอคง” เมื่อฝึกวิชาสำเร็จแล้ว หงอคง เกิดลำพองใจ ไปอาละวาดอวดวิชา
ตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งสวรรค์ หรือบาดาล (วิกิ)
เริ่มด้วยการถล่มวังบาดาล ได้ของวิเศษ คือ ไม้พลองทอง ซึ่งเป็นเสาค้ำบาดาล
กลายเป็นอาวุธประจำกายสั่งให้หดสั้นเก็บไว้ในรูหู
จิตรกรรมฝาผนังสมัยใหม่ มักสอดแทรกภาพอารมณ์ขันสมัยใหม่เข้าไปด้วย
เช่น ภาพวาดยอดมนุษย์อุลตร้าแมนที่วัดร่องขุ่น เชียงราย
ที่ศาลเจ้าเห้งเจียก็เช่นกัน ขณะที่เห้งเจียกำลังถล่มวังบาดาลอยู่นั้น
ให้ปรากฏเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์จากโลกคู่ขนาน (Earth 2/Parallel world) ลอบเข้ามาสังเกตการณ์
เมื่อเห้งเจียอาละวาดไปทั้งสามภพจนปั่นป่วนกันไปหมด
เง็กเซียนฮ่องเต้จึงคิดกลอุบายแต่งตั้งให้เป็น “ปี้ม่าอุน” ดูแลคอกม้าบนสวรรค์ เห้งเจียดีใจนึกว่าตำแหน่งใหญ่
ภายหลังทราบว่าเป็นเพียงตำแหน่งต่ำต้อยก็โกรธอาละวาด เง็กเซียนฮ่องเต้จึงส่งทหารสวรรค์นับ 100,000 นาย
และเทพต่าง ๆ ไปจับก็จับไม่ได้ กลับถูกเห้งเจียปราบกลับมาจนเข็ดเขี้ยวตาม ๆ กัน ในที่สุด เง็กเซียนฮ่องเต้
ต้องยอมให้เห้งเจียขึ้นเป็นใหญ่ พร้อมตั้งให้เป็น “มหาเทพ” (ฉีเทียนต้าเซิ้น แปลตามตัวว่า ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน)
แม้ยศตำแหน่งจะดูใหญ่ แต่มีหน้าที่ดูแลสวนท้อสวรรค์ วันหนึ่งเห็นเหล่านางฟ้าเด็ดผลท้อวิเศษจะไปถวายเจ้าแม่
บรรดานางฟ้าหัวเราะเยาะว่ามีตำแหน่งต่ำต้อยเกิดความโกรธอาละวาดฉกมากินจนหมด
ทำให้เห้งเจียกลายเป็นอมตะ จากนั้นอาละวาดไปทั่วแดนสวรรค์
สวรรค์ระดมกองทัพมาปราบเห้งเจียอีกครั้ง แต่ปราบไม่ได้ แม้แต่นาจา ซี่ไต่เทียงอ๊วง (สี่เทพจตุรบาล)
เทพสามตายังแพ้ เมื่ออับจนหนทาง สุดท้ายแล้วสวรรค์ต้องขอไปอัญเชิญขอพึ่งบารมี
ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า หรือที่ชาวจีนเรียกพระพุทธองค์ว่าพระยูไล
ให้มาช่วยปราบ แต่เห้งเจียหงอคงก็หาได้กลัวไม่ หงอคงอ้างว่า เง็กเซียนฮ่องเต้ หรือเทพใดๆก็สู้ตนไม่ได้เอง
ดังนั้นตน จึงมีสิทธิที่จะครอบครองสวรรค์ พระยูไลจึงตรัสแก่หงอคงว่า “ถ้าเจ้ากระโดดออกไปพ้นฝ่ามือเราได้
เราก็จะเจรจากับเง็กเซียนฮ่องเต้ ให้ยอมให้เจ้าครองสวรรค์ต่อไป” แต่เมื่อเหาะมาได้ไกลมากพอดู หงอคงก็แลเห็น
เสาหินปักอยู่ 5 ต้น เสาทั้ง 5 ต้นได้ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าลิบ ๆ ด้วยความดีใจ และเข้าใจผิดคิดว่า
เสาทั้ง 5 ต้นนั้น คือจุดที่กำหนด บอกถึงที่สุดขอบโลกอย่างแน่นอน จึงจารึกของตัวเองไว้เป็นที่ระลึกด้วยว่า
“หงอคง” และยังได้ฉี่ลดที่ต้นเสาอีกด้วย หมายให้เป็นหลักฐานอ้างอิงกับพระพุทธองค์ และได้เหาะย้อนกลับมา
ที่เดิมอีกครั้ง องค์พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสอะไร ได้แต่ยกพระหัตถ์ ของพระองค์ขึ้นให้เห้งเจียดูที่นิ้ว
พระหัตถ์ของพระองค์นั้น ปรากฏอักษรคำว่า “หงอคง” ที่หงอคงได้เขียนเอาไว้ ปรากฏเห็นอยู่ว่า
หงอคงบินเหาะอยู่แต่ในพระหัตถ์ขององค์พระพุทธเจ้าแค่นั้นเอง จึงถูกลงโทษให้ถูกจองจำใต้ภูเขา “โกเคียว”
หรือหุบเขา 5 ธาตุเป็นเวลา 500 ปี และผู้ที่จะช่วยออกมาได้ คือ พระถังซัมจั๋ง ผู้เดียวเท่านั้น
และเห้งเจียต้องบวชเป็นลูกศิษย์รับใช้พระถังซัมจั๋งไปอัญเชิญพระไตรปิฤกที่ชมพูทวีป
และมีหน้าที่คุ้มครองพระถังซัมจั๋งไปตลอดทาง (วิกิ)
https://www.facebook.com/nannapatmuaylek/posts/1852030401732690/
500 ปีผ่านไป พระถังซัมจั๋ง (เสวียนจั้ง) ได้รับบัญชาจากถังไท่จงฮ่องเต้ กษัตริย์แห่งราชวงศ์ถัง
ผู้ที่เลื่อมใสในพุทธศาสนา ให้เป็นผู้ไปอัญเชิญพระไตรปิฏก ณ ชมพูทวีปอันห่างไกล (วิกิ)
พระถังซัมจั๋งเดินทางมาถึงเขาห้านิ้ว หรือเขาห้าธาตุ ได้ยินเสียงเห้งเจียขอความช่วยเหลือ
จึงเอาใบไม้รองน้ำมาให้ดื้ม แต่ก่อนที่พระถึงซัมจั๋งจะดังยันต์ปลดปล่อยเห้งเจีย เจ้าแม่กวนอิม
ซึ่งทราบดีถึงความพยศและอารมณ์ร้อนของเห้งเจีย ได้ขอให้เห้งเจียยอมสวมมงคลทอง
พร้อมมอบคาถาให้พระถังซัมจั๋ง ไว้คอยกำราบเห้งเจีย มงคลนี้จะหายไปเมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจ
พร้อมทั้งมอบม้ามังกรขาว ซึ่งเป็นเป็นโอรสองค์ที่สามของเจ้ามังกรเอ๋ายุ่น ที่เจ้าแม่กวนอิมช่วยชีวิตไว้
ให้เป็นพาหะนะของพระถังซัมจั๋งตลอดการเดินทาง (วิกิ)
บนเส้นทางสู่ตะวันตก (ไซอิ๋ว) อัญเชิญพระคัมภีร์เป็นเวลา 14 ปี ได้รับศิษย์เพิ่มเติมอีกสองคน
คือ รับตือโป๊ยก่าย (จูป่าเจี้ย) จากหมู่บ้านสกุลเกา และรับซัวเจ๋งจากแม่น้ำหลิวซาเหอ
ทั้งห้าร่วมผจญเภทภัยเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดประการ เช่น ปีศาจกระดูกขาว ปีศาจกระทิง ปีศาจแมงมุม
สุดท้ายเสร็จสิ้นภาระกิจที่ชมพูทวีป
รูปเคารพในศาลเจ้าเห้งเจีย ทางขวามือ คือ ศาลเจ้าแม่กวนอิม ศาลพระพุทธ
ตรงกลางมีรูปปั้นเทพเจ้าเห้งเจียสวมชุดเกราะถือพลองทองขนาดใหญ่ออกรบ
และรูปปั้นกระเบื้องจีน (ฮุ้ย) ที่มีผู้นำมาถวาย
ทั้งหมดเป็นรูปปั้นก่อนสำเร็จเซียนบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์
หลังสุดมีสองศาล มีรูปปั้นของเทพเจ้าเห้งเจีย
เมื่อสำเร็จเซียนบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ มีพระนามใหม่ว่า “ไต่เสี่ยฮุกโจ้ว”
ศาลเจ้าไต่เสี่ยฮุกโจ้ว จึงถือเป็นศาลเจ้าประจำคนเกิดปีวอก
7.49 น.กราบลาไต่เสี่ยฮุกโจ้ว
CR – Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
- – จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
- – ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
13 เมษายน เวลา 11:01 น.
ข้ามถนนไปเข้าถนนนานา ร้านราดหน้าเฮงยอดผักยังไม่เปิด
หลังร้านเฮงยอดผักเป็นร้านกาแฟโบราณ กำลังติดเตาถ่านต้มน้ำทำกาแฟ
เพิ่งรู้ว่าในซอยมีร้านเป็ดพะโล้ร้อยปีซ่อนตัวอยู่
เดินไปทางถนนไมตรีจิตต์
ถัดจากซอยแรกไม่ถึง 50 เมตร มีซอยไปร้านเป็ดพะโล้อีกทาง
ท้ายซอยมียันต์แปดทิศ หรือโป๊ยก่วยลดพลังทางสามแพร่ง
ขากลับค่อยมาซื้อเป็ดพะโล้
ถนนนานาเดิมเป็นย่านจำหน่ายสมุนไพรจีนตากแห้ง
ด้วยความที่ย่านนี้เต็มไปด้วยตึกแถวเก่า
จึงเป็นที่ต้องตาของนักลงทุนเปิดเป็นเกสต์เฮาส์และร้านกาแฟในบรรยากาศย้อนยุค
ออกถนนไมตรีจิตต์ ถ้าเลี้ยวซ้ายเป็นทางไปวงเวียน 22 กรกฎาฯ
ถ้าเลี้ยวขวาเป็นทางไปศาลเจ้าชิกเซี้ยม้า วัดไตรมิตรฯ หัวลำโพง และสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพง
ข้ามถนนไมตรีจิตต์ไปเข้าซอยพันธจิตต์ 1
เป็นซอยแคบ ๆ ข้างคริสตจักรไมตรีจิต ปากซอยมีร้านข้าวขาหมูที่น่าสนใจ
เดินเข้าซอยไปประมาณ 30 เมตร
ร้านโจ๊กอาม่าอยู่ตรงหัวมุมขวามือใต้ถุนแฟลตเหล่งไฮไหล (บ้านมังกรทะเล) หรือแฟลตโต๊ะสุวรรณวานิช
นึกว่าเป็นโจ๊กหมูใส่เครื่องใน แต่พอเห็นโต๊ะเตี้ยล้อมด้วยเก้าอี้เด็ก 5 ตัว
แสนดีใจเจอโจ๊กเด็กอีกร้าน อาม่าจวง หรือ อาม่าเอี่ยเซี่ยมจวง หรืออาม่าจารุพรรณ วัย 76 ปี
นั่งทำโจ๊กเด็กใส่ถุงให้ลูกค้า ขายมา 20 กว่าปี
หนึ่งชุดแยกเป็นสามถุง คือ ถุงโจ๊ก ถุงหมูสับในน้ำซีอิ๊ว และปาท่องโก๋ตัวจิ๋ว
อีกสามนาทีแปดโมงเช้า มองลงไปในหม้อโจ๊กใจแทบแป้ว ต้องรีบถามว่ายังมีพอหรือไม่
อาสามหน้ายังเด็กอาม่าถามว่าใส่ขิงหรือเปล่า หมูสับไม่ได้ต้มสุกแยกหม้อ
แต่ปั้นเป็นลูกหนำเลี๊ยบทรงรักบี้แช่อยู่ในน้ำแกงซีอิ๊วใส่เกลือ อุ่นด้วยเตาถ่านเช่นเดียวกับหม้อโจ๊ก
อาม่าจะตักโจ๊กข้าวหอมหัก แบบที่เรียกว่า “ชุ้ยบี้” ต้มข้นด้วยยางเม็ดข้าวส่งกลิ่นหอมใส่ชาม
จากนั้นตักหมูสับรักบี้ใส่อีกชาม ยีให้กระจายตักใส่ชามโจ๊ก จากนั้นตักน้ำซีอิ๊วใส่เกลือในหม้อตามลงไป
ตอกไข่ไก่ลวกสุกเท่ากันทุกฟอง โรยต้นหอมซอยและขิงซอยพอเหมาะ ปิดท้ายด้วยปาท่องโก๋ตัวเล็กกรอบกรุบกรับ
ปกติแล้วเครื่องปรุงของโจ๊กมีแค่ซีอิ๊วและพริกไทย
แต่คนรุ่นใหม่ชอบกินรสจัด เดี๋ยวนี้จึงต้องมีพริกป่นเพิ่ม แต่ร้านอาม่าไม่มีพริกน้ำส้มให้
ชามแรกถึงจะอร่อยแต่จืดไปนิด
ชามที่สองจึงต้องเน้นว่า “อาแจ้เกียทึงฮะตั่มเปาะเกี๊ยม”
“คุณพี่เพิ่มน้ำแกงชอบเค็มนิด ๆ ครับ”
อาม่าจวงเปิดขายโจ๊กเด็กทุกวัน ตั้งแต่ตีสี่ถึงเก้าโมงเช้า
แต่อย่าเชื่อเวลาปิดอย่างเป็นทางการ เพราะหมดก่อนเวลาทุกวัน
ขนาดวันนี้วันเสาร์ไม่มีเด็กนักเรียน แค่ 8.19 น.เก็บร้านเข้าบ้านแล้ว
วันนี้เจอร้านโจ๊กเด็กอีกร้าน นอกเหนือไปจากเจ๊มะลิ ตลาดน้อย และโจ๊กเด็กปากซอยเจริญกรุง 21
ยังคงตามหาร้านโจ๊กเด็กต่อไป มีคนแจ้งว่าสะพานเหลืองถิ่นบ้านเก่ามีอีกร้าน
ซอยนี้เชื่อมต่อกับทางออกด้านหลังอาคารจอดรถของอาคารหมอมี วงเวียน 22 ฯ
ในซอยเล็ก ๆ นี้มีศาลเจ้าถึง 4 ศาล คือ ศาลปึงเถ่ากง ศาลแป๊ะกงแป๊ะม่า ศาลเจ้าแม่ทับทิม
ที่ดูหรูที่สุด คือ ศาลเจ้าเจียวตี่เอี๊ยะ หรือศาลเจ้าที่ใกล้ภาพวาดกราฟฟิตี้บนกำแพง
เป็ดพะโล้จี้เซ่งเฮง เจ๊ 4 @ ถนนนานา
จากโจ๊กอาม่าจวง ย้อนกลับไปร้านกาแฟโบราณที่ถนนนานา
ดื่มโอยั้วะคลาสสิกฟรุ้ตตี้ฟูลบอดี้ แก้วละ 15 บาท มีชาจีนร้อนล้างปากหนึ่งแก้ว
จากนั้นเข้าซอยเลี้ยวขวาไปซื้อเป็ดพะโล้ร้อยปีจี้เซ่งเฮงเจ๊ 4
แค่เลี้ยวขวาก็เห็นเหล่าแอพแมนยืนรอเป็ด แถมแอดมินร้านกำลังไล่ออเดอร์ลูกค้า
คิดในใจว่าถ้าต้องยืนรอไว้มาวันหลัง ไม่อยากได้เป็ดพะโล้ที่ยังไม่ได้ที่เพราะเร่งขาย
“ลูกค้าใหม่ลองครึ่งตัวก่อนไหมคะ?”
“ครึ่งตัว 250 ค่ะ” ราคาค่อนข้างสูงกว่าเจ๊หนึ่งปากน้ำ
ที่แปลกใจ คือ ตัวละ 480 บาทแต่รวมเครื่องใน
ลองครึ่งตัวก่อนก็แล้วกัน ไม่ได้ถามว่าแยกกระดูกได้หรือไม่ และร้านก็ไม่ถาม
ซื้อเลือดเปิดหนึ่งถุง 50 บาท ไส้เป็ดหนึ่งถุง 150 บาท รวม 450 บาท
น้ำจิ้มมีให้สองแบบ คือ พริกน้ำส้มและเต้าเจี้ยวขิงสับ
เครื่องพะโล้ รากผักชี ขิง และสมุนไพรในหม้อต้ม
น้ำพะโล้ซึมเข้าตัวเป็ดได้ที่แล้ว ไม่ผูกเชือกพลาสติกเหมือนบางร้านอนามัยดี
ทางร้านมีเป็ดพะโล้ทอดด้วย แต่ขายเป็นตัว ๆ ละ 600 บาท
และต้องรอเล็กน้อย เพราะต้องต้มเป็ดนานขึ้นให้เครื่องซึมเข้าเนื้อมากกว่าปกติ ทอดแล้วจึงจะอร่อย
เป็ดพะโล้จี้เซ่งเฮงเจ๊ 4 ขายมาตั้งแต่รุ่นอาม่า เปิดขายทุกวัน ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงเที่ยง
เดิมขายอยู่ในตลาดเล่งบ๋วยเอี๊ย แต่ขายที่บ้านอย่างเดียวมากว่าสามปีแล้วเพราะรถใต้ดิน
นอกจากเป็ดพะโล้ยังมีห่านพะโล้ ขายยกตัว 1,800 บาท แต่ต้องสั่งล่วงหน้า
กลับถึงบ้านเปิดกล่องไส้เป็ด 150 บาทดูปริมาณ ก่อนกรีดใส่กล่องใส่ถุงร้อนซีลอุ่นอยู่ในน้ำร้อน
ไส้กรีดลอกไขมันติดผนังไส้ออกจนหมด กรอบเหนียวเล็กน้อย
มื้อเย็นตักแบ่งส่วนหนึ่งใส่จาน
เป็ดเนื้อหนาหอมเครื่องพะโล้และสมุนไพร
เลือดเป็ดนุ่มปานกลาง แต่ต่างจากเนื้อเป็ดในข้าวต้มเป็ด
ที่จะไม่นุ่มและเค็มเล็กน้อย น้ำพะโล้ค่อนข้างเค็ม
ออกถนนนานาข้ามถนนพระรามที่ 4 ไปเข้าถนนลำพูนไชย
เลี้ยวขวาเข้าถนนเยาวราช
ถึงแยกเฉลิมบุรีเกือบเลี้ยวขวาไปร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานิวยืนยง เพราะคิดถึงหนังปลาทอด
คห.128-136 “เที่ยวไปกินไป @ ถนนทรงสวัสดิ์”
http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2011/03/D10363117/D10363117.html
แต่นึกถึงของกินอร่อยหายากอีกร้านที่มีเฉพาะช่วงเช้า จึงข้ามถนนเยาวราชไปเดินฝั่งซ้าย
ผ่านร้านก๋วยจั๊บนายเอ็ก ปากซอยเยาวราช 9 เป็นร้านที่ตัวเองและแฟนชอบมากที่สุดบนถนนเยาวราช
เพราะไม่บ้าพริกไทย กินร้านนี้มากว่าสามสิบปี ตั้งแต่เฮียยังทำร้านดีให้เช่าวีดีโอ
ช่วงที่ฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องเข้าแถวรอนานจนไม่กินทั้งกลางวันและกลางคืน
แต่ช่วงนี้ไร้นักท่องเที่ยวกินสบาย นึกอยากซื้อก๋วยจั๊บกลับบ้าน แต่ยังมีของต้องซื้ออีกเยอะแบกไม่ไหว
ปากซอยอีกฝั่ง คือ ร้านเกียเม้ง ร้านขนมต้มหวานแบบจีนที่เรียกว่า “ตีทึง”
รุ่นสองรับช่วงต่อจากรุ่นแม่นานแล้ว ชอบซื้อถั่วลิสงคั่วจากรุ่นแม่ที่นั่งขายอยู่หน้าร้าน
ร้านนายเอ็กและร้านเกียเม้งสั่งข้ามไปมาไม่ได้ เป็นอย่างนี้มาเกือบสี่สิบปีแล้ว
13 เมษายน เวลา 11:01 น.
เดินตรงไปทางถนนเยาวพานิชย์ ไปร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาอึ้งเป็งชุง
นักกินรู้จักร้านอึ้งเป็งชุง ในฐานะหนึ่งในร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเก่าแก่ย่านเยาวราช
ตั้งอยู่ในซอยแคบ ๆ ข้างอดีตโรงหนังเทียนกัวเทียน หลังร้านเดินทะลุถนนเยาวพานิช
ตรงร้านซาละเปาไต้แป๊ะ ข้างร้านตั้งใจอยู่ได้ หลายคนรู้แต่ว่า
ร้านนี้ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้ง ฮื่อก้วยและโอ่วโซวเผือกทอดอร่อย
แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า ร้านนี้มีของอร่อยอีกสองอย่าง ที่ต้องไปแต่เช้า
หนึ่ง คือ เกี๊ยวปลา ถ้าไม่สั่งพืเศษไม่ใส่ อย่างที่สอง คือ สั่งบะหมี่แห้ง
จะใส่หน่อไม้ต้มผัดซีอิ๊ว ที่ไม่คิดเงินเพิ่มและอร่อยมากให้ด้วย เมื่อก่อนสิบโมงเช้าหมด
วันนี้ออกแต่เช้าไก่โห่ เพราะตั้งใจไปลองโจ๊กอาม่า ถนนไมตรีจิตต์ นึกขั้นได้แวะกิน
สั่งบะหมี่น้ำและบะหมีแห้งอย่างละชาม ๆ ละ 40 บาท
เริ่มกินบะหมี่แห้งสลับกับกินน้ำแกง
ลูกชิ้นปลาร้านนี้นุ่มเด้ง กลิ่นปลาอินทรีย์ชัดเจน
ลูกชิ้นกุ้งใส่แห้วออกหวานเล็กน้อย
ฮื่อก้วยหนึบแน่น
ทั้งลูกชิ้นปลาและฮื่อก้วยเพิ่มความหอมของเนื้อปลาด้วยต้นหอมซอย
โอ่วโซว เผือกซอยเส้นผัดปรุงรสห่อฟองเต้าหู้ทอด
ไม่แข็งเกินไปแบบร้านไต้เช็ง จุฬาฯ ซอย 9
หน่อไม้ต้มซอยเส้นนุ่มผัดซีอิ๊วอร่อย
เกิดความอยากกินพริกชี้ฟ้าดอง
เพิ่มพริกป่นและถั่วลิสงคั่วป่น
ต่อด้วยบะหมี่น้ำ น้ำแกงรสเข้มข้น
สั่งบะหมี่แห้งกลับบ้านเพิ่มฮื่อก้วยอีกชิ้น 50 บาท 3 ห่อ เกี๊ยวปลาน้ำ 60 บาท
หน่อไม้ผัดซีอิ๊วเมื่อก่อนสิบโมงเช้าหมด แต่วันนี้ยังไม่เก้าโมงครึ่งได้ 3 ห่อสุดท้ายหมดแล้ว
ร้านขึ้นป้ายว่าไม่ได้เปิดในห้าง แต่หลานสาวคนหนึ่ง ที่จัดงานแต่งงานใหญ่โตเป็นที่ฮือฮา
ไปเปิดอีกร้านอยู่เยื้องกัน คือ ร้านยู้ แต่ราคาเน้นนักท่องเที่ยว นั่งกินมีระดับกว่าด้วยสตอรี่ของร้านสวยงาม
สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนกันทั้งสองร้าน คือ เครื่องปลาไม่นับลูกขาย แต่ขายเป็นกิโลฯ ยกเว้นฮื่อก้วยเส้นละ 45 บาท
ร้านนี้มีอย่างหนึ่งที่เหมือนร้านแป๊ะเตียง คือ ลูกจ้างไทยพม่า สั่งอาหารด้วยภาษาแต้จิ๋ว
เช่น ตาก๊วยเจ็งอี๊ หรือเส้นใหญ่แห้งลูกชิ้นปลาอย่างเดียว
เคยมากินกับแฟนต้อนเช้าหลายปีแล้ว สองคนกินไป 7 ชามจนทางร้านตกใจ
ถึงบ้านของว่างกินเกี๊ยวปลาน้ำ 60 บาทมี 5 ตัว
ไม่เน้นปริมาณไส้หมูสับที่หอม แต่เน้นแผ่นเกี๊ยวหนึบโคตรสู้ฟัน
อึ้งเป็งชุงเปิดขายทุกวัน ตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง
หลังบทความนี้อยากกินหน่อไม้ผัดซีอิ๊ว ควรไปก่อนเก้าโมงเช้า
13 เมษายน เวลา 11:02 น.
ข้ามถนนเยาวราชไปเข้าถนนแปลงนาม เพื่อไปร้านขนมเปี๊ยะอื้อเล่งเฮง
ใกล้เช็งเม้งจูชังเปี๊ยะทั้งแบบอบนิ่มและอบกรอบขายดี
ซื้อฮ่วยเปี้ยขนมเปี๊ยะงาชิ้นเล็ก 4 ชิ้น ๆ ละ 30 บาท
เพราะร้านแต้เล่าจินเส็งช่วงหลังอบกรอบแข็งเกินไป
ลองเจี๋ยวเปี้ย หรือเปี๊ยะนก 2 ห่อ ๆ ละ 30 บาท
หนึ่งห่อมีสองชิ้นประกบกัน
แป้งนิ่มร่วน ไส้ถั่วเหลืองกวนหวานน้อย
ไม่มีกลิ่นเปลือกส้มตากแห้งแบบไส้ฮ่วยเปี้ย
ไม่ได้ซื้อพายมะพร้าวแบบจีน
เหลือบไปเห็นของที่ไม่เคยกิน
สิ่งนั้น คือ กิ๊กเปี้ย หรือเปี๊ยะส้มจีน
เป็นส้มจีนจากเมืองจีนผลใหญ่กว่าส้มจิ๊ด อบแห้งบีบแบนโรยแป้ง
หนึ่งขีด 35 บาทได้ 3 ชิ้น ไม่ได้ชิมเพราะแฟนเอาเข้าบ้านแม่ทั้งหมด
9.34 น.อยากเข้าห้องน้ำ นึกถึงศาลเจ้ากวางตุ้ง (กว้องสิว)
เดินไปทางถนนเจริญกรุงจนถึงแยกแปลงนาม
ข้ามถนนไปฝั่งถนนพลับพลาไชยเลี้ยวขวา
เพิ่อไปศาลเจ้ากวางตุ้ง (สมาคมกว้องสิวแห่งประเทศไทย)
-ตามที่บันทึกไว้ในสมัยจักรพรรดิกว๊องโสย รัชวงศ์ชิง (แมนจู ใน ค.ศ.1877)
ได้มีกลุ่มชาวจีนกวางตุ้ง ซึ่งเป็นผู้นำการค้าจ๊งชิ้วแฉวก รวบรวมจำนวนเงิน 17,000 กว่าบาท
ซื้อที่ดิน 1 แปลง บนถนนเจริญกรุง เริ่มก่อตั้งเป็นสมาคมฯ การกุศลสำหรับชาวจีนกวางตุ้ง
เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ และตั้งชื่อว่า “กว๋องสิวปิดโส่ย” ก่อตั้งมาหลายปีจึงสร้างสำเร็จ
หลังจากนั้นได้ทำกิจหลักเช่น สุสานกวางตุ้ง โรงพยาบาล และโรงเรียน นอกจากงานหลัก 3 อย่างนี้
ยังได้จัดตั้ง “กรมคุ้มครองช่วยเหลือความปลอดภัยจากสังคม”
และยังเป็นผู้ใหญ่ช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องทะเลาะวิวาทระหว่างชาวจีนกวางตุ้งด้วย
http://www.chinatownyaowarach.com/articles/42340951/ศาลเจ้ากวางตุ้ง.html
ซ้ายขวาของประตูเข้าสู่ศาลเจ้า ประดิษฐานพระสังกัจจายน์สีทององค์ใหญ่ข้างละองค์
เช็คอิน วัดอุณหภูมิผ่านจุดคัดกรอง
รูปปั้นเทพเจ้ากวนอูในศาลหลังทางเข้าย้ายที่ประดิษฐานจากแท่นกลม
มาประดิษฐานพิ้นหันหน้าไปทางเข้าศาลเพื่อให้เห็นง่ายขึ้น
ลานหน้าวิหารซำปอฮุกโจ้ว มุมทั้งสี่มีหมุดทองเหลืองมุมละ 2 หมุด
หมุดแรกกแกะอักษรจีนมงคลสี่คำว่า “เจียวไช้จิ้งป้อ” หรือกวักโชครับทรัพย์ เงินทองไหลมาเทมา
หมุดที่สองเป็นรูปปลาคู่ พ้องเสียงกับคำจีนว่า “อวี๋” มีกินมีใช้
ทางด้านซ้ายและด้านขวาของลานเป็นวิหาร 18 อรหันต์ฝั่งละ 9 องค์
บริเวณด้านหน้าของศาลเจ้า เดิมเป็นเพียงสมาคมกว๋องสิว หรือ สมาคมคนกวางตุ้ง
จนเมื่อปี พ.ศ.2423 จึงได้สร้างศาลเจ้าขึ้น โดยนำวัสดุต่าง ๆ รวมทั้งรูปปั้นจากเมืองจีนมาประกอบที่ไทย
http://www.chinatownyaowarach.com/articles/42340951/ศาลเจ้ากวางตุ้ง.html
องค์ประธานของศาลเจ้า คือ ซำปอฮุกโจ้ว
หรือพระพุทธเจ้าทั้งสามพระองค์ หรือไตรรัตนพระพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นพระประธานของวัดจีนฝ่ายมหายาน และศาลเจ้าจีนทุกแห่ง ประกอบด้วย
พระโคตมพุทธเจ้า (องค์กลาง) พระอมิตาภพุทธะ (องค์ซ้าย) และพระไภษัชยคุรุพุทธะ (องค์ขวา)
ตามความเชื่อฝ่ายมหายาน พระอัครสาวกประกอบด้วยพระมหากัสสปะอยู่ทางด้านซ้าย พระอานนท์
อยู่ทางขวา ด้านหน้าซำปอฮุกโจ้วประดิษฐานพระอวโลกิเตศวรปางประทับยืนประทานพรถือยาเม็ดกับน้ำ
ทางด้านขวาเป็นแท่นประดิษฐานเทพเจ้าหลายองค์
เช่น เทพเจ้าหมั่นเชี้ยง เทพเจ้าขงจื๊อ เทพเจ้าโลวป้าน
ทางด้านซ้ายประดิษฐานพระศริอาริยะเมตไตร
เดินผ่านซอกเล็ก ๆ ทางซ้ายมือไปด้านหลัง มีป้ายชี้ทางไปห้องน้ำชายและหญิง
ด้านหลังมีอาคารสามชั้น น่าจะเป็นตึกอำนวยการของมูลนิธิ
เช็กเอาท์ไทยชนะออกจากศาลเจ้าเลี้ยวขวา
ติดกับศาลเจ้ากวางตุ้ง คือ ที่ตั้งร้านใหม่ของร้านลูกชิ้นปลาเจริญกรุง 18
หลังจากย้ายจากปากซอยเจริญกรุง 18 ไปที่ปากซอยลัดไปตลาดเล่งบ๋วยเอี๊ยจากด้านถนนแปลงนาม
เพราะการก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินวัดมังกร จากนั้นย้ายอีกครั้งเมื่อปีแล้วมาอยู่ข้างศาลเจ้ากวางตุ้ง
ถัดไปเป็นรถเข็นขายน้ำใบบัวบกซึ่งขายมาหลายสิบปี เลือกระดับความหวานไม่ได้
เหมือนร้านยี่เจ้สถานีรถไฟตลาดพลู ต้องคุมน้ำตาล ช่วงหลังจึงไม่ได้ซื้อ
ข้ามแยกแปลงนามฝั่งถนนพลับพลาไชยไปทางตรอกอิสรานุภาพ
ร้านขนมเปี๊ยะไม่มีชื่อร้านนี้ แม้มีตัวเลือกไม่มาก แต่มีลูกค้าอุดหนุนตลอดเวลา
หน้าทางลงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีวัดมังกรฝั่งปากซอยเจริญกรุง 21 มีคนแสดงเปิดหมวก
ข้ามถนนไปฝั่งซอยเจริญกรุง 16 เลี้ยวขวา
เลี้ยวซ้ายเข้าถนนมังกรช่วงระหว่างถนนเจริญกรุงและถนนเยาวราช
ไม่ได้ซื้อลอดช่องสิงคโปร์หน้าอดีตร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเทพทัย ที่ปิดถาวรกลายเป็นตำนาน
เพิ่งรู้ตัวว่าขายขาดทุน
ซื้อพิเศษใส่เนื้อปูใส่เป๋าฮื้อเทียม 60 บาทมาหลายปี
กลางปีที่แล้วขึ้นเป็น 70 บาท ยอมรับเพราะย้ายที่ขายใหม่ข้างทางขึ้นที่จอดรถค่าเช่าแพง
วันนี้ขึ้นราคาอีกครั้งสุดลิ่ม 90 บาท รวมมิตรร้อย หันกลับไปกินธรรมดากระเพาะปลาอย่างเดียว 40 บาท
ไม่ได้แวะซื้อโจ๊กถี่วแดงและโจ๊กงาดำสาขาจากปากซอยเฉลิมเวียง บางรัก ที่ขายอยู่ด้านใน
แวะรถขายไช้ก้วยสาขาของร้านที่ปากซอย 19 หมู้บ้านเศรษฐกิจ บางแค
อั่งถ่อก้วยขึ้นราคาอีกชิ้นละ 5 บาท จาก 25 บาทเป็น 30 บาท
ซื้อไส้ข้าวเหนียว 4 ชิ้น
ซื้อไส้รวมหนึ่งกล่องสิบชิ้น 120 บาท ขึ้นจากชิ้นละ 10 บาท เป็นชิ้นละ 12 บาท
ไม่ได้ซื้อเผือกเปลือยและขนมผักกาด
วันนี้ไม่ซื้อผัดไทคิคูย่า 2
ข้ามถนนเยาวราชไปขึ้นรถยูโรทูไปลงสุดสายปากคลองตลาด
ไม่เคยคิดจะขึ้นไปเดินสวนลอยฟ้าสะพานด้วน
สะพานที่ตกค้างเป็นอนุสรณ์ของโครงการรถไฟฟ้าลาวาลิน
มาปากคลองตลาดก่อนไปเช็งเม้งแทบทุกปี เพื่อซื้อดอกดาวเรืองไปโปรยสุสาน
ปกติเดินสำรวจราคาก่อนซื้อในตลาดยอดพิมาน แต่วันนี้ได้จากท่ารถเพราะมีแม่ค้าขาย
ถามราคาแล้วไปต้องเดินต่อ ถุงละ 50 ดอก 10 บาท 12 ถุง 6 ร้อยดอกร้อยเดียว
ท่ารถไม่มีพวงมาลัยขาย หิ้วถุงดอกดาวเรืองหนักอึ้งไปซื้อที่ถนนจักรเพชร
ใกล้ที่จอดรถอดีตโรงหนังเอ็มไพร์ พวงละ 20 บาท 6 พวง
ข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อไปขึ้นรถ แวะถ่ายรูปดอกไม้หน้าร้านขายดอกไม้
เลี้ยวขวาเข้าถนนอัษฎางค์ เดินเลียบคลองคูเมืองเดิม
ข้ามแยกพระพิทักษ์ ข้ามแยกสะพานมอญ ข้ามสะพานหกไปฝั่งถนนราชินี
เพื่อขึ้นรถยูโรทูสาย 25 ทางด่วน ที่ท่ารถตรงข้ามสุสานหลวงวัดราชบพิธฯ กลับบ้าน
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ได้ที่เพจ “เที่ยวไปกินไป by laser”
https://th-th.facebook.com/เที่ยวไปกินไป-by-laser-458383970993701
ที่เอาไว้รวบรวมเรื่องเที่ยวเรื่องกิน ที่สั้นเกินกว่าจะนำมาลงเป็นบทความ
หรือ อยู่ระหว่างรวบรวมเป็นบทความที่สมบูรณ์ ที่อาจใช้เวลาหลายปี
#กินตามอาสาม #อร่อยตามอาสาม #ตามรอยอาสาม #เที่ยวกับอาสาม
13 เมษายน เวลา 11:04 น.
13 เมษายน เวลา 13:08 น.
13 เมษายน เวลา 16:34 น.
13 เมษายน เวลา 20:54 น.
14 เมษายน เวลา 18:07 น.
ขอให้มีสุขภาพดีแข็งแรงทั้งสองท่านครับ
วิชาญ ศวน.27
13 เมษายน เวลา 23:24 น.
14 เมษายน เวลา 18:28 น.
เน้นความสวยงามของรูปเคารพเสียมากกว่า ศาลเจ้าจีนจะเน้นเสามังกรทีกงและเสาในศาลเจ้า
กำแพงสระมังกร (ด้านซ้าย) และเสือ (ด้านขวา) และภาพวาดบนกระเบื้องซ้ายขวาของประตูทางเข้าครับ
15 เมษายน เวลา 09:27 น.
15 เมษายน เวลา 00:30 น.
15 เมษายน เวลา 04:32 น.
ใส่แค่หมูบะช่อต้มซีอิ๊ว ไม่ใส่เครื่องใน สมัยก่อนถ้าไม่ใส่หมูบะช่อก็แค่โรยเกลือ
ให้โจ๊กมีความเค็ม กินพออิ่มท้อง จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “โจ๊กเกลือ” ครับ
15 เมษายน เวลา 09:21 น.
มีป้าคนจีนขายอาหารตามสั่ง และขายโจ๊กด้วย แกขายโจ๊กให้เด็กที่เดินผ่านไปโรงเรียน
ราคาชามละ 1 บาท ใส่ชามตราไก่ใบเล็ก มีข้าวโจ๊ก ซีอิ๊วขาว และปาท่องโก๋ตัวเล็กที่
ป้าจะบดให้พอแตก แต่ไม่ละเอียด ส่วนเด็กที่โตมาหน่อยมีตังค์เยอะ อยากกินชามใหญ่
ป้าขายชามละ 3 บาท ใส่ชามตราไก่ที่ใส่ก๋วยเตี๋ยว มีข้าวโจ๊กเยอะขึ้น ซีอิ๊วขาว หมูสับปรุงรส
และปาท่องโก๋บด มีขิงและต้นหอมให้ด้วยค่ะ
ชอบก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลามากๆ เลยค่ะ กลับไปคิดว่าจะต้องกลับไปกินให้ได้เลยค่ะ
ของโปรดเลยบะหมี่แห้งลูกชิ้นปลา แถมร้านนี้มีใส่หน่อไม้ผัดปรุงรสมาให้อีก
ขอบคุณ คุณอาสามที่รีวิวมาให้ชมนะคะ มีครบเลยทั้งรีวิวอาหาร พร้อมกับให้ความรู้ด้าน
วัดจีน คอยติดตามคุณอาสามอยู่เงียบๆ มานานค่ะ
15 เมษายน เวลา 12:45 น.
15 เมษายน เวลา 22:09 น.
16 เมษายน เวลา 20:34 น.
ผ่านซอยนานา รามไมตรี เห็นละแบบชีวิตวัยเด็ก
ร้านกาแฟตรงซอยนานา เห็นตั้งแต่เฮียคนชงเป็นเด็กๆกะแม่แก ตอนเช้าจะมีพวกราดข้าวง่ายๆขาย
หลังๆผ่านไปเจอแต่เฮียแกชง
ร้านอาเจ๊โจ๊กเด็กตรงตรอกโรงหมูนั่นทันได้กินแกอยู่ครับ เป็นขวัญใจเด็ก สวว กับ เด็ก ตว จริงๆ
คือปกติโจ๊กจะกินตอนเช้าๆ แต่ร้านเจ๊แกตอนบ่าย เด็กนักเรียนมานั่งกินเต็มเลย
จริงๆเจ๊แกน่าจะเสียเกินสอบปีแล้ว
โจ๊กเด็กตรงซอยซือลิบจิงกวงเมื่อก่อนคือเป็นแหล่งเลย เดินเข้าไปใต้แฟลต มีขายเยอะมาก
ตอนเด็กๆหน่อย ไปนั่งเล่นเกมใต้แฟลต
พอเป็นหนุ่มขึ้นมาหน่อยไปตีสนุ้กบนแฟลตสิบชั้น
เห็นกระทู้อาสามละแบบ เวลาผ่านไปไวจริงๆ
ปล อาสามรู้มั้ยครับ ข้าวมันไก่ตรงฮาเร็มย้ายไปไหนหรือเลิกขาย
19 เมษายน เวลา 14:14 น.
แต่คงยาก เพราะในซอยนั้นฝั่งซ้ายทุบขึ้นอพาร์ทเมนท์ครับ
19 เมษายน เวลา 15:54 น.
19 เมษายน เวลา 15:56 น.