[CR] รีวิว “Hoi Chinese Izakaya” ร้านลับในสุขุมวิท 51 เสิร์ฟบุฟเฟ่ต์อาหารจีนฮ่องกง 40 เมนูแค่คนละ 498 ฿++
ร้านนั่งดื่มสไตล์อิซากายะส่วนใหญ่มักจะมีแต่สัญชาติญี่ปุ่นแต่วันนี้เราถูกพามาเปิดประสบการณ์ในรูปแบบใหม่กับอาหารจีน-ฮ่องกงกันที่ “Hoi Chinese Izakaya” อยู่ภายในซอยสุขุมวิท 51 ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่านี่เป็นร้านลับเพราะต้องตั้งใจมากินโดยเฉพาะเท่านั้นถึงจะหาเจอ วันธรรมดาลูกค้าส่วนใหญ่จะมานั่งชิลสั่งอาหารพร้อมพูดคุยกับเพื่อนฝูงเคล้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเรื่องปกติ พิเศษเฉพาะช่วงสุดสัปดาห์ในวันศุกร์-เสาร์และอาทิตย์จัดเป็นแบบบุฟเฟ่ต์กินได้ทุกเมนูรวมกว่า 40 รายการสั่งได้เต็มที่ 2 ชั่วโมง จ่ายเพียงแค่คนละ 498 บาท++ เท่านั้น สำหรับสายเน้นคุ้มอย่างเราได้ยินแล้วต้องรีบโทรมาจองให้ไวเพราะร้านค่อนข้างเล็กและมีให้บริการเพียงไม่กี่โต๊ะ วิธีการเดินทางถ้ามาด้วยรถยนต์ส่วนตัวสามารถจอดตรงไหนก็ได้ภายในซอยสุขุมวิท 51 แต่ไม่ควรกีดขวางหน้าบ้านคนอื่นและสังเกตป้ายฝั่งวันคู่-วันคี่ให้ดีก่อนจอด ถ้าเลี้ยวเข้ามาภายในซอยเล็กที่ตั้งร้านในแผนที่แล้วเจอลานจอดรถของบริษัท “ต.ไทยเจริญมาร์เก็ตจำกัด” ให้กลับรถออกไปเพราะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลจึงไม่อนุญาตให้ลูกค้าจากร้านอาหารเข้ามา ถ้าเดินทางมาด้วยบริการขนส่งสาธารณะให้ลง BTS สถานีทองหล่อแล้วเดินมาตามจุดปักหมุดบนแผนที่มือถือเพียงแค่ 300 เมตร สังเกตทางด้านขวามือจะมีป้ายไฟชื่อร้านขนาดเล็กจิ๋วติดกับเสาไฟฟ้าพร้อมลูกศรก็ให้เดินไปตามทางเรื่อยๆจนพบทางเข้าอยู่ในซอยแคบด้านซ้ายมือเป็นประตูกระจกพร้อมติดสติกเกอร์ชื่อและสัญลักษณ์เด็กผู้ชายอ้วนผมทรงเกาลัดยิ้มเหนียงออกนัยน์ตาเป็นรูปหัวใจแบบนี้แสดงว่ามาถูกต้องแล้วขึ้นไปร้านที่อยู่บนชั้น 2 ได้เลยครับผม
บรรยากาศภายในร้านเน้นสไตล์ Loft ด้วยพื้นและกำแพงแบบปูนเปลือยขัดมัน สำหรับเฟอร์นิเจอร์เลือกใช้เป็นไม้สีเข้มเนื้อแข็งแรงดูมั่นคงทั้งโต๊ะกับเก้าอี้ดูเข้าชุดกันดี แต่ไม่ชอบตรงที่มีสันไม้เตี้ยๆยกขึ้นมาด้านซ้ายและขวาทำให้คนมีก้นใหญ่อย่างเรานั่งนานแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายมากนัก ตกแต่งรอบๆร้านด้วยรูปวาดมือสไตล์ Street Art สมัยใหม่ที่บ่งบอกถึงความเป็นร้านอาหารจีนและเพิ่มความอบอุ่นด้วยโคมไฟโทนสีเหลือง-ส้มทรงกลมดูสวยงาม อย่างที่บอกไปเบื้องต้นแล้วว่าพื้นที่ในร้านค่อนข้างเล็กจึงมีให้บริการเพียงแค่ 10 โต๊ะ แนะนำว่าให้โทรสำรองที่นั่งก่อนมาซึ่งวันนี้เราเลือกเป็นโต๊ะด้านในสุดติดกับแพงริมหน้าต่างใกล้ไฟ LED รูปน้องหัวเกาลัด มาเริ่มสั่งอาหารกันเลยครับผม
เมื่อมาถึงน้องพนักงานก็จะนำเล่มเมนูออกมาให้เป็นใบ QR Code ให้สแกนเข้าสู่ระบบ Smart Menu บนแอปพลิเคชั่น Line ในมือถือ อยากทานอะไรก็ดูรายการอาหาร-หน้าตาของแต่ละจานแล้วสั่งกับพนักงานได้เลย มาถึงก็เลือกเป็นบุฟเฟ่ต์ราคาคนละ 498 บาท ไม่รวมเครื่องดื่มพร้อม Vat. 7% กับ Service Charge 5% สามารถนั่งได้เรื่อยๆตลอด 2 ชั่วโมงเต็ม (เริ่มจับเวลาเมื่อจานแรกมาเสิร์ฟบนโต๊ะ) อาหารที่สั่งมาต้องทานให้หมดถ้ากินเหลือปรับจริงตามราคา A La Carte โดยอ้างอิงจากในเล่มเมนู สำหรับเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 11 ปีสั่งอาหารจานหลักเพียง 1 ที่ก็นั่งทานบุฟเฟ่ต์กับผู้ปกครองเลยได้ทันที (ราคาเริ่มต้น 98-198 บาท) อายุมากกว่านั้นร้านขออนุญาตคิดเป็นราคาผู้ใหญ่ตามปกติ เครื่องดื่มราคาเริ่มต้นขวดละ 18-128 บาท ส่วนแอลกอฮอล์ต่างๆก็มีให้บริการราคาขวดละ 118-1,488 บาท (เติมน้ำแข็งให้ฟรี) วันนี้เราสั่งเป็น “ชาหวังเหล่าจี๋” กระป๋องละ 58 บาท และ น้ำฟักตราตงกวาฉาราคากระป๋องละ 88 บาท เพราะพนักงานแนะนำว่าเป็นเมนูขายดีอีกทั้งมีสรรพคุณทางยาช่วยลดความกระหายน้ำจึงช่วยทำให้ทานบุฟเฟ่ต์ได้เยอะยิ่งขึ้น ชาหวังเหล่าจี๋รสหวานหอมสมุนไพรคล้ายน้ำรสเฉาก๊วยส่วนน้ำฟักก็หวานใสๆราวกับดื่มน้ำตาลสดทำให้รู้สึกสดชื่นและไม่เปลืองเท่ากับตอนสั่งเป็นน้ำเปล่าปกติ ถือว่าช่วยได้ตามที่กล่าวอ้างจริงครับผม
มาทานร้านบุฟเฟ่ต์แบบนี้ก็ต้องเริ่มจากเมนูที่รู้สึกว่าคุ้มสุดก่อนก็คือ “กุ้งซอสสิงคโปร์” เลือกใช้แชบ๊วยไซส์ใหญ่คัดพิเศษเอามาฝ่ากลางหลัง-ลอกเส้นดำออกก่อนนำลงทอดในน้ำมันให้เปลือกกรอบฟูเนื้อเด้งกระชับ ผัดลงในซอสพริกสิงคโปร์ผสมเครื่องเทศสูตรเฉพาะรสหวานเผ็ดกลมกล่อมหอมเหล้าจีนบางๆเข้ากับกุ้งได้เป็นอย่างดี จานต่อไปเป็น “กุ้งซอสเหล้าแดง” ใช้แชบ๊วยตัวใหญ่ผ่าหลังแล้วทอดในน้ำมันเหมือนจานแรกแค่เปลี่ยนซอสเป็นเหล้าแดงสูตรเฉพาะรสหวานเค็มอมเปรี้ยวตรงปลายลิ้นเล็กน้อยคล้ายผสมวูสเตอร์ซอสลงไปเคล้ากลิ่นเหล้าจีนพุ่งขึ้นจมูกถือเป็นอีกจานที่อร่อยแต่ไม่เผ็ดจึงรู้สึกเลี่ยนได้ง่ายๆกว่าเมนูแรก ตามมาด้วย “กุ้งซอสมายองเนส” เป็นแชบ๊วยตัวยักษ์แกะเอาแต่เนื้อล้วนๆชุบแป้งทอดในน้ำมันร้อนๆให้ด้านนอกกรุบกรอบเนื้อด้านในเด้งกระชับสู้ฟัน ราดด้วยมายองเนสโฮมเมดรสเปรี้ยวหวานมันหอมเหมือนผสมน้ำเลมอนทานเปล่าๆก็อร่อย แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดห่อกับผักกาดหอมที่เสิร์ฟมาคู่กันใจจานแบบสลัดกุ้งทอดมายองเนสช่วยเพิ่มความสดชื่นและทานได้ง่ายกว่าเดิมเยอะมาก แนะนำให้สั่งเลยครับผม
จานต่อไปก็คือ “กุ้งกระจก” เป็นแชบ๊วยแกะเอาแต่เนื้อมาน็อกน้ำแข็งกับเกลือให้กลายเป็นกุ้งกระจกก่อนเอาไปผัดกับซอสรสเค็มกลมกล่อมสัมผัสเหนียวข้นคล้ายราดหน้าใส่น้ำมันงา ผสมหอมใหญ่และหอมแดงสับละเอียดท็อปปิ้งด้วยต้นหอมญี่ปุ่นซอยและพริกชี้ฟ้าแดง เสิร์ฟมาคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบร้านอาหารจีนโดยหนักพริกสดกระเทียมรสเปรี้ยวนำเค็มอมหวานนิดๆพอกลมกล่อมไม่จัดจ้านเหมือนฉบับคนไทย จึงทำให้จานนี้ทานง่าย-คุ้นเคยลิ้นและไม่ค่อยเลี่ยนเร็วเท่ากับจานก่อนๆ เมนูต่อไปประทับใจหนักมากคือ “แมงกะพรุนน้ำมันงา” สูตรของที่ร้านใช้ชิ้นใหญ่คุณภาพสูงเอามาหั่นเป็นเส้นหนาเคี้ยวเต็มคำ ลวกพอสุกแล้วสะบัดน้ำส่วนเกินออกจนแห้งแล้วยำกับน้ำพริกเผาสูตรจีนแท้ๆจึงไม่หวานและไม่มีกลิ่นมะขามเปียกเหมือนกับของไทย ผสมน้ำมันงาเล็กน้อยแล้วคลุกให้เข้ากันซอส-เคลือบตัวเส้นแมงกะพรุนหนานุ่มได้อย่างทั่วถึงและไม่มีน้ำส่วนเกินไหลนองออกมาในจานแบบร้านอาหารจีนสมัครเล่น ได้ทั้งความเคี้ยวกรุบกรอบเด้งสู้ฟันผสมซอสเข้มข้นพิเศษหอมน้ำมันงาในทุกๆคำ เป็นอีกจานที่แนะนำให้สั่งเช่นเดียวกันครับผม
จานต่อมาเป็น “ไก่กรอบเปรี้ยวหวาน” ทางร้านใช้เป็นเนื้อส่วนอกล้วนไม่ติดหนังเอามาหมักนุ่มให้เด้งฉ่ำชุบแป้งทอดกรอบจนมีสีเหลืองทอง ราดด้วยซอสเปรี้ยวหวานสูตรพิเศษทำจากซอสพริกผสมกับน้ำสับปะรดสดกลิ่นหอมๆและเหล้าจีนเล็กน้อยเคี่ยวจนเหนียวข้นเคลือบชิ้นไก่ เพิ่มสัมผัสกรุบกรอบและสวยงามด้วยพริกหวานทั้ง 3 สียกมาเสิร์ฟร้อนๆได้หลากหลายสัมผัสตอนเคี้ยวในคำเดียวกัน อีกจานคือ “ปีกไก่ซอสฮ่องกง” มันคือส่วนปีกคัดมาแต่ชิ้นอ้วนๆเอามาผ่าครึ่งเป็น 2 ส่วนชุบแป้งบางทอดจนกรอบราดด้วยซอสรสเปรี้ยวอมหวานหอมวูสเตอร์ซอสผสมเหล้าจีนและน้ำจิ้มบาร์บีคิวคล้ายกับเมนูสเต๊กเนื้อฮ่องกงแต่เปลี่ยนเป็นไก่แทน ก็อร่อยจับเข้าปากทานง่ายไปอีกแบบครับ
จานต่อไปอยู่ในร้านอาหารฮ่องกงระดับเหลาแต่ที่นี่เอามาเสิร์ฟให้ทานไม่อั้นก็คือ “ไก่แช่เหล้า” เลือกเฉพาะส่วนสะโพกติดหนังต้มสุกด้วยไฟอ่อนจนชุ่มฉ่ำสีขาวตรงกลางอมชมพูนิดๆแช่ในเหล้าข้าวหมักรสหวานหอมน้ำมันงาอ่อนแอลกอฮอล์จึงไม่ขมและฉุนขึ้นจมูกกินได้ง่ายกว่าร้านอื่นๆ จิ้มทานกับน้ำพริกเผาสไตล์จีนสูตรเฉพาะของทางร้านรสเค็มนำหวานตามสัมผัสเหนียวหนืดเข้มข้นพิเศษไม่เปรี้ยวและมีกลิ่นน้ำมะขามเปียกเหมือนสูตรไทย เพียงนำตะเกียบปาดแล้วแตะลงบนเนื้อสะโพกไก่แช่เหล้าเล็กน้อยก่อนเข้าปากก็ช่วยเพิ่มความเผ็ดกลมกล่อมสั่งเพิ่มได้อีกหลายจาน เมนูต่อไปสายเนื้อห้ามพลาดกับ “เนื้อน่องลายตุ๋นแห้ง” เป็นส่วนขาของวัวที่มีเอ็นเยอะสุดนำมาตุ๋นใส่เครื่องสมุนไพรจนความเหนียวเคี้ยวยากหายไปกลายเหลือแต่กรุบกรอบเด้งสู้ฟันนิดๆ ปรุงรสน้ำซอสเค็มกลมกล่อมเข้าเนื้อโรยด้านบนด้วยกระเทียมเจียวก่อนเสิร์ฟ ทานพร้อมกับซอสเต้าหู้ยี้รสเปรี้ยวหวานหอมมันปั่นกับพริกสดให้เผ็ดเล็กน้อยช่วยลดความเลี่ยน-เพิ่มความจัดจ้านเข้ากับเนื้อตุ๋นสไตล์จีนชามนี้ได้เป็นอย่างดี รู้สึกว่าจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อสูตรเก่าแก่โบราณที่มาจากประเทศจีนบางแห่งในไทยก็เสิร์ฟซอสคล้ายกับแบบนี้เช่นเดียวกัน เปิดประสบการณ์ใหม่ดีมากๆครับ
เมนูชุดถัดมาคล้ายๆกับ 2 จานก่อนแค่เสิร์ฟคู่กับข้าวคือ “ข้าวมันไก่แช่เหล้า” ใช้ส่วนสะโพกมาพร้อมกับน้ำพริกเผาสูตรจีนแทนน้ำจิ้มแบบไหหลำที่เคยทานมา เพิ่มข้าวมันหุงจากเมล็ดพันธุ์หอมมะลิอย่างดีใส่ไขมันหนังไก่เจียว/น้ำซุปโครงไก่และกระเทียมสับลงไปแบบจัดเต็มจนมีความแวววาวพร้อมกลิ่นหอม เข้ากับสะโพกไก่ต้มเนื้อนุ่มหอมกลิ่นแช่เหล้ารสหวานผสมน้ำพริกรสเค็มเผ็ดและข้าวคลุกมันไก่กับกระเทียมให้ความอร่อยแสนบันเทิงอยู่ในปากอย่างล้นปรี่ จานต่อไปก็เสิร์ฟมาคู่กับข้าวสวยเหมือนกันก็คือ “ข้าวอบเนื้อน่องลาย” สูตรน้ำซอสตุ๋นจะเค็มนำหอมสมุนไพรใส่เห็ดหอมและต้นหอมลงไปเพิ่มจึงมีรสหวานกลมกล่อมเข้ากับข้าวอบที่หุงสุกใหม่และต้องใช้เวลารอนานกว่าจะมาขึ้นโต๊ะร้อนๆควันหอมฉุยทานง่ายกว่าที่คิด ถึงแม้จะไม่มีซอสเต้าหู้ยี้เหมือนชามแรกก็ตามแต่ก็สามารถขอเพิ่มได้ครับผม
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
บรรยากาศภายในร้านเน้นสไตล์ Loft ด้วยพื้นและกำแพงแบบปูนเปลือยขัดมัน สำหรับเฟอร์นิเจอร์เลือกใช้เป็นไม้สีเข้มเนื้อแข็งแรงดูมั่นคงทั้งโต๊ะกับเก้าอี้ดูเข้าชุดกันดี แต่ไม่ชอบตรงที่มีสันไม้เตี้ยๆยกขึ้นมาด้านซ้ายและขวาทำให้คนมีก้นใหญ่อย่างเรานั่งนานแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายมากนัก ตกแต่งรอบๆร้านด้วยรูปวาดมือสไตล์ Street Art สมัยใหม่ที่บ่งบอกถึงความเป็นร้านอาหารจีนและเพิ่มความอบอุ่นด้วยโคมไฟโทนสีเหลือง-ส้มทรงกลมดูสวยงาม อย่างที่บอกไปเบื้องต้นแล้วว่าพื้นที่ในร้านค่อนข้างเล็กจึงมีให้บริการเพียงแค่ 10 โต๊ะ แนะนำว่าให้โทรสำรองที่นั่งก่อนมาซึ่งวันนี้เราเลือกเป็นโต๊ะด้านในสุดติดกับแพงริมหน้าต่างใกล้ไฟ LED รูปน้องหัวเกาลัด มาเริ่มสั่งอาหารกันเลยครับผม
เมื่อมาถึงน้องพนักงานก็จะนำเล่มเมนูออกมาให้เป็นใบ QR Code ให้สแกนเข้าสู่ระบบ Smart Menu บนแอปพลิเคชั่น Line ในมือถือ อยากทานอะไรก็ดูรายการอาหาร-หน้าตาของแต่ละจานแล้วสั่งกับพนักงานได้เลย มาถึงก็เลือกเป็นบุฟเฟ่ต์ราคาคนละ 498 บาท ไม่รวมเครื่องดื่มพร้อม Vat. 7% กับ Service Charge 5% สามารถนั่งได้เรื่อยๆตลอด 2 ชั่วโมงเต็ม (เริ่มจับเวลาเมื่อจานแรกมาเสิร์ฟบนโต๊ะ) อาหารที่สั่งมาต้องทานให้หมดถ้ากินเหลือปรับจริงตามราคา A La Carte โดยอ้างอิงจากในเล่มเมนู สำหรับเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 11 ปีสั่งอาหารจานหลักเพียง 1 ที่ก็นั่งทานบุฟเฟ่ต์กับผู้ปกครองเลยได้ทันที (ราคาเริ่มต้น 98-198 บาท) อายุมากกว่านั้นร้านขออนุญาตคิดเป็นราคาผู้ใหญ่ตามปกติ เครื่องดื่มราคาเริ่มต้นขวดละ 18-128 บาท ส่วนแอลกอฮอล์ต่างๆก็มีให้บริการราคาขวดละ 118-1,488 บาท (เติมน้ำแข็งให้ฟรี) วันนี้เราสั่งเป็น “ชาหวังเหล่าจี๋” กระป๋องละ 58 บาท และ น้ำฟักตราตงกวาฉาราคากระป๋องละ 88 บาท เพราะพนักงานแนะนำว่าเป็นเมนูขายดีอีกทั้งมีสรรพคุณทางยาช่วยลดความกระหายน้ำจึงช่วยทำให้ทานบุฟเฟ่ต์ได้เยอะยิ่งขึ้น ชาหวังเหล่าจี๋รสหวานหอมสมุนไพรคล้ายน้ำรสเฉาก๊วยส่วนน้ำฟักก็หวานใสๆราวกับดื่มน้ำตาลสดทำให้รู้สึกสดชื่นและไม่เปลืองเท่ากับตอนสั่งเป็นน้ำเปล่าปกติ ถือว่าช่วยได้ตามที่กล่าวอ้างจริงครับผม
มาทานร้านบุฟเฟ่ต์แบบนี้ก็ต้องเริ่มจากเมนูที่รู้สึกว่าคุ้มสุดก่อนก็คือ “กุ้งซอสสิงคโปร์” เลือกใช้แชบ๊วยไซส์ใหญ่คัดพิเศษเอามาฝ่ากลางหลัง-ลอกเส้นดำออกก่อนนำลงทอดในน้ำมันให้เปลือกกรอบฟูเนื้อเด้งกระชับ ผัดลงในซอสพริกสิงคโปร์ผสมเครื่องเทศสูตรเฉพาะรสหวานเผ็ดกลมกล่อมหอมเหล้าจีนบางๆเข้ากับกุ้งได้เป็นอย่างดี จานต่อไปเป็น “กุ้งซอสเหล้าแดง” ใช้แชบ๊วยตัวใหญ่ผ่าหลังแล้วทอดในน้ำมันเหมือนจานแรกแค่เปลี่ยนซอสเป็นเหล้าแดงสูตรเฉพาะรสหวานเค็มอมเปรี้ยวตรงปลายลิ้นเล็กน้อยคล้ายผสมวูสเตอร์ซอสลงไปเคล้ากลิ่นเหล้าจีนพุ่งขึ้นจมูกถือเป็นอีกจานที่อร่อยแต่ไม่เผ็ดจึงรู้สึกเลี่ยนได้ง่ายๆกว่าเมนูแรก ตามมาด้วย “กุ้งซอสมายองเนส” เป็นแชบ๊วยตัวยักษ์แกะเอาแต่เนื้อล้วนๆชุบแป้งทอดในน้ำมันร้อนๆให้ด้านนอกกรุบกรอบเนื้อด้านในเด้งกระชับสู้ฟัน ราดด้วยมายองเนสโฮมเมดรสเปรี้ยวหวานมันหอมเหมือนผสมน้ำเลมอนทานเปล่าๆก็อร่อย แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดห่อกับผักกาดหอมที่เสิร์ฟมาคู่กันใจจานแบบสลัดกุ้งทอดมายองเนสช่วยเพิ่มความสดชื่นและทานได้ง่ายกว่าเดิมเยอะมาก แนะนำให้สั่งเลยครับผม
จานต่อไปก็คือ “กุ้งกระจก” เป็นแชบ๊วยแกะเอาแต่เนื้อมาน็อกน้ำแข็งกับเกลือให้กลายเป็นกุ้งกระจกก่อนเอาไปผัดกับซอสรสเค็มกลมกล่อมสัมผัสเหนียวข้นคล้ายราดหน้าใส่น้ำมันงา ผสมหอมใหญ่และหอมแดงสับละเอียดท็อปปิ้งด้วยต้นหอมญี่ปุ่นซอยและพริกชี้ฟ้าแดง เสิร์ฟมาคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบร้านอาหารจีนโดยหนักพริกสดกระเทียมรสเปรี้ยวนำเค็มอมหวานนิดๆพอกลมกล่อมไม่จัดจ้านเหมือนฉบับคนไทย จึงทำให้จานนี้ทานง่าย-คุ้นเคยลิ้นและไม่ค่อยเลี่ยนเร็วเท่ากับจานก่อนๆ เมนูต่อไปประทับใจหนักมากคือ “แมงกะพรุนน้ำมันงา” สูตรของที่ร้านใช้ชิ้นใหญ่คุณภาพสูงเอามาหั่นเป็นเส้นหนาเคี้ยวเต็มคำ ลวกพอสุกแล้วสะบัดน้ำส่วนเกินออกจนแห้งแล้วยำกับน้ำพริกเผาสูตรจีนแท้ๆจึงไม่หวานและไม่มีกลิ่นมะขามเปียกเหมือนกับของไทย ผสมน้ำมันงาเล็กน้อยแล้วคลุกให้เข้ากันซอส-เคลือบตัวเส้นแมงกะพรุนหนานุ่มได้อย่างทั่วถึงและไม่มีน้ำส่วนเกินไหลนองออกมาในจานแบบร้านอาหารจีนสมัครเล่น ได้ทั้งความเคี้ยวกรุบกรอบเด้งสู้ฟันผสมซอสเข้มข้นพิเศษหอมน้ำมันงาในทุกๆคำ เป็นอีกจานที่แนะนำให้สั่งเช่นเดียวกันครับผม
จานต่อมาเป็น “ไก่กรอบเปรี้ยวหวาน” ทางร้านใช้เป็นเนื้อส่วนอกล้วนไม่ติดหนังเอามาหมักนุ่มให้เด้งฉ่ำชุบแป้งทอดกรอบจนมีสีเหลืองทอง ราดด้วยซอสเปรี้ยวหวานสูตรพิเศษทำจากซอสพริกผสมกับน้ำสับปะรดสดกลิ่นหอมๆและเหล้าจีนเล็กน้อยเคี่ยวจนเหนียวข้นเคลือบชิ้นไก่ เพิ่มสัมผัสกรุบกรอบและสวยงามด้วยพริกหวานทั้ง 3 สียกมาเสิร์ฟร้อนๆได้หลากหลายสัมผัสตอนเคี้ยวในคำเดียวกัน อีกจานคือ “ปีกไก่ซอสฮ่องกง” มันคือส่วนปีกคัดมาแต่ชิ้นอ้วนๆเอามาผ่าครึ่งเป็น 2 ส่วนชุบแป้งบางทอดจนกรอบราดด้วยซอสรสเปรี้ยวอมหวานหอมวูสเตอร์ซอสผสมเหล้าจีนและน้ำจิ้มบาร์บีคิวคล้ายกับเมนูสเต๊กเนื้อฮ่องกงแต่เปลี่ยนเป็นไก่แทน ก็อร่อยจับเข้าปากทานง่ายไปอีกแบบครับ
จานต่อไปอยู่ในร้านอาหารฮ่องกงระดับเหลาแต่ที่นี่เอามาเสิร์ฟให้ทานไม่อั้นก็คือ “ไก่แช่เหล้า” เลือกเฉพาะส่วนสะโพกติดหนังต้มสุกด้วยไฟอ่อนจนชุ่มฉ่ำสีขาวตรงกลางอมชมพูนิดๆแช่ในเหล้าข้าวหมักรสหวานหอมน้ำมันงาอ่อนแอลกอฮอล์จึงไม่ขมและฉุนขึ้นจมูกกินได้ง่ายกว่าร้านอื่นๆ จิ้มทานกับน้ำพริกเผาสไตล์จีนสูตรเฉพาะของทางร้านรสเค็มนำหวานตามสัมผัสเหนียวหนืดเข้มข้นพิเศษไม่เปรี้ยวและมีกลิ่นน้ำมะขามเปียกเหมือนสูตรไทย เพียงนำตะเกียบปาดแล้วแตะลงบนเนื้อสะโพกไก่แช่เหล้าเล็กน้อยก่อนเข้าปากก็ช่วยเพิ่มความเผ็ดกลมกล่อมสั่งเพิ่มได้อีกหลายจาน เมนูต่อไปสายเนื้อห้ามพลาดกับ “เนื้อน่องลายตุ๋นแห้ง” เป็นส่วนขาของวัวที่มีเอ็นเยอะสุดนำมาตุ๋นใส่เครื่องสมุนไพรจนความเหนียวเคี้ยวยากหายไปกลายเหลือแต่กรุบกรอบเด้งสู้ฟันนิดๆ ปรุงรสน้ำซอสเค็มกลมกล่อมเข้าเนื้อโรยด้านบนด้วยกระเทียมเจียวก่อนเสิร์ฟ ทานพร้อมกับซอสเต้าหู้ยี้รสเปรี้ยวหวานหอมมันปั่นกับพริกสดให้เผ็ดเล็กน้อยช่วยลดความเลี่ยน-เพิ่มความจัดจ้านเข้ากับเนื้อตุ๋นสไตล์จีนชามนี้ได้เป็นอย่างดี รู้สึกว่าจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อสูตรเก่าแก่โบราณที่มาจากประเทศจีนบางแห่งในไทยก็เสิร์ฟซอสคล้ายกับแบบนี้เช่นเดียวกัน เปิดประสบการณ์ใหม่ดีมากๆครับ
เมนูชุดถัดมาคล้ายๆกับ 2 จานก่อนแค่เสิร์ฟคู่กับข้าวคือ “ข้าวมันไก่แช่เหล้า” ใช้ส่วนสะโพกมาพร้อมกับน้ำพริกเผาสูตรจีนแทนน้ำจิ้มแบบไหหลำที่เคยทานมา เพิ่มข้าวมันหุงจากเมล็ดพันธุ์หอมมะลิอย่างดีใส่ไขมันหนังไก่เจียว/น้ำซุปโครงไก่และกระเทียมสับลงไปแบบจัดเต็มจนมีความแวววาวพร้อมกลิ่นหอม เข้ากับสะโพกไก่ต้มเนื้อนุ่มหอมกลิ่นแช่เหล้ารสหวานผสมน้ำพริกรสเค็มเผ็ดและข้าวคลุกมันไก่กับกระเทียมให้ความอร่อยแสนบันเทิงอยู่ในปากอย่างล้นปรี่ จานต่อไปก็เสิร์ฟมาคู่กับข้าวสวยเหมือนกันก็คือ “ข้าวอบเนื้อน่องลาย” สูตรน้ำซอสตุ๋นจะเค็มนำหอมสมุนไพรใส่เห็ดหอมและต้นหอมลงไปเพิ่มจึงมีรสหวานกลมกล่อมเข้ากับข้าวอบที่หุงสุกใหม่และต้องใช้เวลารอนานกว่าจะมาขึ้นโต๊ะร้อนๆควันหอมฉุยทานง่ายกว่าที่คิด ถึงแม้จะไม่มีซอสเต้าหู้ยี้เหมือนชามแรกก็ตามแต่ก็สามารถขอเพิ่มได้ครับผม
******* เกิน 10,000 ตัวอักษร ขออนุญาตเขียนรีวิวต่อในช่อง Comment แทนนะครับ *******
ชื่อสินค้า: Hoi Chinese Izakaya สุขุมวิท 51
คะแนน:
0.5
1.0
1.5
2.0
2.5
3.0
3.5
4.0
4.5
5.0
CR – Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
- – จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
- – ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
Food Addicts
19 กุมภาพันธ์ เวลา 12:29 น.
19 กุมภาพันธ์ เวลา 12:29 น.
แหล่งที่มา pantip.com
จานต่อไปหน้าตาเหมือนผัดซีอิ๊วไทยแต่ไม่ใช่เพราะมันคือ “เส้นใหญ่เนื้อผัดซอส XO” วัตถุดิบที่ใช้นั้นเริ่มต้นจากเส้นใหญ่สัมผัสเหนียวนุ่มผัดในกระทะร้อนๆหอมกลิ่นควันเคลือบน้ำมันแวววาว/เนื้อแดงล้วนหมักนุ่มไม่มีกลิ่นเฉพาะตัวของวัว/ก้านคะน้าคัดแต่ยอดอ่อนๆรสชาติหวานเคี้ยวกรุบกรอบไม่มีเสี้ยนชวนติดฟัน/ไข่ไก่ผัดลงไปให้เป็นชิ้นเล็กเคลือบเส้นและซอส XO สูตรพิเศษของทางร้านรสหวานเค็มกลมกล่อมหอมเครื่องทะเลตากแห้งผสมสมุนไพรผัดไม่เหมือนใคร ปรุงมาอร่อยกลมกล่อมจนไม่ต้องเรียกหาพวงเครื่องปรุงเหมือนสูตรไทยค่อนข้างประทับใจเลยครับ เมนูต่อไปก็ยังคงเป็นเส้นใหญ่คือ “ราดหน้ากรอบเนื้อเต้าซี่” โดยนำเอาไปทอดให้เป็นแผ่นบางกรอบฟูและมีโพรงอากาศเล็กๆแทรกตัวอยู่เต็มไปหมดเพื่อรองรับกับตัวซอสเต้าซี่ รสชาติเค็มหวานผักต่างๆทั้งหัวหอมใหญ่/พริกหยวกสามสีผสานกับเนื้อแดงวัวหมักนุ่มหอมเต้าซี่กับพริกไทยดำเผ็ดร้อนอ่อนๆเสิร์ฟมาแยกถ้วย-ชามกัน ก่อนทานจะราดลงบนเส้นหรือคีบลงไปจิ้มก็ดูดซึมซับเข้าไปตามโพรงช่องว่าเล็กๆกัดแล้วฉ่ำซอสกรอบแตกสลายในปากประทับใจสุดๆ ถ้าไม่ติดว่ามาทานบุฟเฟ่ต์คงจะสั่งชามนี้มาทานเพิ่มอีกอย่างแน่นอนส่วนตัวแนะนำว่ามาถึงร้านนี้แล้วต้องลองให้ได้ครับ
เนื้อวัวหมักร้านนี้อร่อยดีแต่ไม่อยากทานกับเส้นก็เลยสั่งเป็น “เนื้อสันในผัดเต้าซี่” รสชาติคล้ายกับราดหน้าชามที่แล้วคือรสเค็มกลมกล่อมใส่เต้าซี่จัดเต็มและหวานกรุบกรอบผัก มาพร้อมกับสันในวัวหมักนุ่มสไตล์บางเต็มๆจานที่บอกได้เลยว่ารู้สึกเคี้ยวเต็มปากสะใจดีมาก ตามมาด้วยเมนู “ซุปเสฉวน” สูตรของร้านนี้รสเปรี้ยวอมหวานน้ำเหนียวข้นกลมกล่อมหนักเครื่องต่างๆทั้งอกไก่หมักนุ่มนั่นเป็นเส้นยาว/เห็ดหูหนูดำ-ขาวหั่นชิ้นเล็กๆ/หน่อไม้สดหวานกรอบและเต้าหู้เหลืองโฮมเมด ใส่พริกให้พอเผ็ดนิดๆโรยหน้าด้วยต้นหอมก่อนเสิร์ฟมาในถ้วยใหญ่ขนาดนี้ราคาปกติ 138 บาทถือว่าอร่อยประทับใจอีกร้านขอยกให้เป็นเมนูซุปเสฉวนที่อร่อยอันดับต้นๆในใจตอนนี้เลยครับผม หากไม่ชอบน้ำข้นๆก็ต้องสั่งเป็น “ซุปเยื่อไผ่ 4 เซียน” น้ำซุปสีเหลืองทองสัมผัสใสเบาบางแต่มีกลิ่นหอมกระดูกหมูผสมยาจีนซึ่งในชามมีวัตถุดิบเพียง 4 อย่างคือ 1. เยื่อไผ่ดูดน้ำซุปรสเค็มกลมกล่อมเอาไว้ 2. กระดูกหมูอ่อนตุ๋นจนนุ่มเกือบเป็นเยลลี่ 3. เห็ดหอมเต็มดอกชิ้นใหญ่ช่วยให้น้ำซุปหอมและเพิ่มสัมผัสเคี้ยวเด้งในปาก 4. เมล็ดเก๋ากี้ลอยหน้าเล็กๆผสมน้ำซุปให้มีความหอมกลมกล่อมเผ็ดร้อนจากพริกไทยขาวซดแล้วรู้สึกสดชื่นคล่องคอพร้อมลุยบุฟเฟ่ต์จานต่อไปกันครับ
ประทับใจเต้าหู้ของที่ร้านและชอบเมนูนี้มากๆอยู่แล้วเลยสั่งมาก็คือ “เต้าหู้มาโฝ” โดยเป็นสูตรฮ่องกงจึงเน้นรสกลมกล่อมหวานเค็มสมดุลปนเผ็ดนิดๆ ไม่ได้จัดจ้านเท่าสูตรของญี่ปุ่นหรือจีนเสฉวนต้นฉบับดั้งเดิมแต่ก็อร่อยกินได้ทุกเพศและวัย หนักเครื่องต่างๆทั้งต้นหอม/กระเทียม/หมูสับและเต้าหู้สีเหลืองทำเองของทางร้านเนื้อแน่นเด้งแต่ฉ่ำน้ำเคี้ยวหนึบนิดๆคล้ายกับโมจินิดหน่อยแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร น้ำเหนียวข้นแต่รสชาติเบาจึงทานเปล่าๆก็ได้โดยไม่ต้องเรียกหาข้าวสวยเพิ่มแต่อย่างใด จานต่อไปน้องพนักงานแนะนำว่าต้องสั่งเพราะเป็นเมนูขายดีเป็นอันดับ 1 นั่นก็คือ “เต้าหู้ผัดพริกเกลือ” ใช้เต้าหู้สีเหลืองสูตรพิเศษเอาไปทอดจนด้านนอกกรอบฟูนิดๆแต่ข้างในเป็นครีมเหมือนกับวุ้นเต้าฮวย คลุกกับรากผักชี/กระเทียมเจียวและพริกสดปรุงรสให้เค็มหวานกลมกล่อมเข้ากับเต้าหู้ทอดได้เป็นอย่างดี ใครที่มีเพื่อนเป็นมังสวิรัติ-รักสุขภาพก็พามาทานบุฟเฟ่ต์ร้านนี้ได้เพราะมีหมวดอาหารเจด้วยก็เลยสั่ง “มะเขือเทศโทฝู” โดยสีเหลืองๆที่เห็นรอบนอกเป็นเต้าหู้สีเหลืองชิ้นใหญ่ชุบแป้งทอดกรอบล้อมใบโหระพาซอยและมะเขือเทศฝ่าครึ่งลูกเล็ก ราดด้วยน้ำสลัดสูตรเจประกอบไปด้วยซีอิ๊วขาว/น้ำผึ้งกับแอปเปิ้ลไซเดอร์รสเค็มเปรี้ยวหวานกลมกล่อม ปิดท้ายด้วยถั่วลิสงคั่วบดโรยด้านบนให้ความกรุบกรอบหอมมัน-สดชื่นเข้ากันได้ทุกๆอย่างแบบน่าเหลือเชื่อเลยครับ
พอรู้ว่าเต้าหู้ร้านนี้เขาอร่อยก็สั่งมาอีกอย่างคือ “ข้าวอบเต้าหู้” ฟังดูชื่อแล้วไม่น่าอร่อยแต่มันดีมากๆเริ่มจากข้าวอบใหม่เหนียวนุ่ม วางด้านบนด้วยเต้าหู้สีเหลืองสัมผัสนุ่มเคี้ยวสู้ฟันเล็กน้อยคล้ายเนื้อสัตว์ผัดซอสพิเศษรสชาติเค็มหวานเข้มข้นกลมกล่อม เพิ่มต้นหอมหั่นท่อนและเห็ดหอมเข้าไปเคี้ยวกรุบกรอบ/เหนียวหนึบก่อนเสิร์ฟก็โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวใหม่ๆหอมกรุ่น (หากเป็นสูตรเจทางร้านจะใส่ให้) ถ้าหลับตาแล้วเคี้ยวเหมือนทานข้าวหน้าปลาผัดซอสแบบจีนแต่มันคือเต้าหู้ถือว่าอร่อยประทับใจมากอีกจานครับ ถ้วยต่อไปเป็นเมนูจานหลักที่ราคา A La Carte ถูกสุดในร้านคือ “ข้าวอบไก่หม้อดิน” เป็นเนื้อไก่ล้วนไม่ติดหนังส่วนสะโพกชิ้นใหญ่เคี้ยวเต็มคำ เอามาหมักนุ่มหอมน้ำมันงาคลุกซอสรสเค็มหวานกลมกล่อมใส่ต้นหอมและเห็ดหอมเหมือนชามก่อนๆวางบนข้าวสวยอบใหม่ๆอร่อยเด้งดึ๋งสู้ฟัน อีกทั้งยังราคาถูกมากๆเพียงชามละ 98 บาทเท่านั้น (ถูกกว่าเมนูมังสวิรัติอีก) รสชาติโดยรวมนั้นดีเยี่ยมเช่นเคยครับ
จานต่อไปเป็นเมนูฟิวชั่นสไตล์จีน-เม็กซิกันที่เคยเห็นร้านนี้เป็นแห่งแรกนั่นก็คือ “ฟองเต้าหู้ซัลซา” เป็นแผ่นฟองเต้าหู้ขนาดใหญ่นำไปทอดให้แผ่บางๆจนกรอบคล้ายข้าวเกรียบแทนแผ่นนาโชส์ กินคู่กับดิปที่หน้าตาภายนอกเหมือนอาหารเม็กซิกันแต่มีความเป็นจีนอยู่เต็มเปี่ยมซึ่งประกอบไปด้วย ผักชี/ใบสะระแหน่/มะเขือเทศกับหอมแดงสับคลุกกับนมและน้ำมันพริกบางอย่าง รสชาติปรุงมาเค็มหอมมันกรุบกรอบหวานอมเปรี้ยวพร้อมสดชื่นจากผักต่างๆที่ได้ใส่ลงไปจำนวนมาก ส่วนตัวคิดว่าจานนี้ค่อนข้างเค็มไปหน่อยทั้งตัวน้ำซอสกับแผ่นเต้าหู้แต่โดยรวมๆแล้วนั้นถือว่าใช้ได้ครับ เมนูต่อมาเป็นมังสวิรัติที่กินแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังทานหมูฝอยคือ “เห็ดเข็มทองทอดกรอบ” เป็นเห็ดนำมาฉีกเป็นเส้นสั้นชุบแป้งบางๆทอดจนกรอบก่อนจะปรุงรสให้เค็มหวานกลมกล่อมอร่อยราวกับหายวับไปในปากเมื่อเคี้ยว แทบไม่รู้สึกถึงความเป็นเห็ดและพริกหวานสีแดงชิ้นเล็กๆที่ประดับตกแต่งก่อนเสิร์ฟเลยครับ ต่อไปเป็นน้ำซุปใสดูปรุงง่ายๆแต่อร่อยสไตล์จีนคือ “ซุปมะเขือเทศ” เบสเป็นซุปใสสีทองเค็มกลมกล่อมเพิ่มความนัวด้วยไข่ไก่ที่เทลงไปเป็นเส้น เพิ่มรสหวานอมเปรี้ยวให้ชามนี้ครบรสยิ่งขึ้นด้วยมะเขือเทศย่างในกระทะก็สดชื่นคล่องคอดีสุดๆแล้วครับ
เนื่องจากที่ร้านไม่มีขนมหวานเลยสั่งเป็นเมนูทานเล่นเบาๆมาช่วงท้ายแทนคือ “แป๊ะก๊วยคั่วเกลือ” เหมือนจะปรุงง่ายๆไม่ซับซ้อนแต่เชฟใช้เทคนิคหลายอย่าง เริ่มจากแปะก๊วยไม่ขมเลยเพราะเอาแกนตรงกลางออกแต่ไม่ทำให้เมล็ดแตก/เนื้อด้านในไหลออกมาแบบมือสมัครเล่น จากนั้นเอาไปทอดในน้ำมันให้ผิวนอกมันเงาและแน่นกระชับเคี้ยวสนุกยิ่งขึ้นกว่าเดิม แล้วค่อยเอามาคั่วในกระทะเพื่อไล่ไขมันส่วนเกินออกคลุกเกลือเกล็ดเล็กๆในประมาณกำลังดี จึงช่วยดึงรสหวานตามธรรมชาติของเม็ดแปะก๊วยออกมาได้จนถึงขีดสุดดูเอาใจใส่ในทุกขั้นตอนมากๆครับ จานสุดท้ายก็คือ “เห็ดหอมคั่วซีอิ๊ว” เป็นเมนูโปรดของหลายคนที่ไม่ได้ทำยากแต่ก็ต้องมีฝีมือกันนิดหน่อย ทางร้านใช้เห็ดหอมสดดอกขนาดกลางๆพอดีคำเอามาปรุงรสด้วยซีอิ๊วจีน/น้ำตาลให้รสหวานเค็มกลมกล่อมเข้าเนื้อหอมกลิ่นควันคั่วในกระทะที่ผิวนอกหน่อยมาพร้อมเม็ดเก๋ากี้เปรี้ยวนิดๆเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบสุดๆ ตอนนี้อิ่มมากแล้วมาคิดเงินกันเลยครับ
มื้อนี้มาทานบุฟเฟ่ต์กัน 4 คนหมดไป 2,665 บาท รวมเครื่องดื่ม A La Carte พร้อม Vat. 7% และ Service Charge อีกแค่ 5% เท่านั้น (ร้านอื่นที่เคยทานมาคิด 10% เกือบทั้งหมด) โดยรวมทุกจานนั้นรสชาติอร่อยระดับเดียวกับภัตตาคารฮ่องกงแนวหน้าของประเทศไทยเจ้าที่เราเคยชิมมา ส่วนเคล็ดลับเดาได้เลยว่าเป็นเพราะเชฟชาวจีนแท้ๆสะบัดกระทะรับออเดอร์กันเป็นภาษาจีนกลางในครัวตลอดจึงเทียบกันได้อย่างไม่ต้องสงสัย ลงมติกันแล้วว่าประทับใจมากถึงแม้ว่าจะเป็นสไตล์อิซากายะที่เน้นนั่งดื่มเป็นหลักก็ตาม มีข้อควรพิจารณานิดหน่อยคือแต่ละเมนูเต็มไปด้วยข้าว/ซุป/แป้ง/ผักและเส้นต่างๆค่อนข้างเยอะ ถ้าคุณเป็นคนกินจุเอาอร่อยก็สั่งได้เลยเต็มที่แต่หากกินน้อยเน้นจานที่ใส่เนื้อสัตว์เยอะๆอาจจะมีตัวเลือกน้อยลงเพราะทางร้านเสิร์ฟปริมาณเดียวกับ A La Carte ไม่รวมเครื่องดื่ม-ขนมหวานด้วยเลยเหมือนยังจ่ายไม่จบแค่คิดยังไงก็คุ้ม รับคะแนนความอร่อยดีงามไป 5 ดาวเลยครับ🌟🌟🌟🌟🌟
19 กุมภาพันธ์ เวลา 12:37 น.
เปิดเวลา 11.00-14.00 น. กับ 17.00-22.00 น. และปิดร้านทุกจันทร์ (อาจถูกปรับเปลี่ยนตามนโยบายรัฐบาล)
โทร. 092-405-1551
Facebook : www.facebook.com/hoibangkok
ลิงค์ Google Maps : https://goo.gl/maps/GugPm1hAnQ5u3kfD8
ตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
อย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเราด้วยนะ 😘😘😘
19 กุมภาพันธ์ เวลา 12:38 น.
20 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 06:09 น.
20 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 08:23 น.
20 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 12:37 น.
21 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 00:51 น.
21 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 00:54 น.
น่าทานมากๆค่ะ
21 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 13:17 น.
21 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 18:43 น.
21 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 19:29 น.
22 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 21:56 น.
23 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 23:36 น.
24 กุมภาพันธ์ เวลา 09:03 น.
26 กุมภาพันธ์ เวลา 18:08 น.
จะได้ไปลองชิมดูบ้าง
27 กุมภาพันธ์ เวลา 18:02 น.