[CR] รีวิว Guru Gyuu บุฟเฟ่ต์ยากินิคุเจ้าเก่าย่านสะพานควาย เสิร์ฟเนื้อคุณภาพระดับพรีเมี่ยมเพียงคนละ 699 ฿
ถ้ามีคนตั้งโพสต์ถามในกลุ่มชมรมคนรักเนื้อว่าบุฟเฟ่ต์ยากินิคุใช้เนื้อคุณภาพดีราคาไม่แพงที่ไหนดีสุดในกรุงเทพ 5 อันดับแรกคงหนีไม่พ้นร้าน Guru Gyuu Yakiniku ย่านสะพานควาย ส่วนตัวเคยมาทานร้านนี้แต่เว้นช่วงไปนานมากจนลืมรสชาติในความทรงจำไปหมดแล้วอีกทั้งปัจจุบันเห็นว่ามีการปรับเพิ่มเมนูใหม่ใส่เนื้อวากิวคุณภาพสูงลงไปแต่จ่ายแค่ราคา 699 บาทเท่านั้นเลยต้องหยิบกล้องออกมาถ่ายรีวิวที่ร้านอีกครั้ง ตอนนี้เปิดให้บริการอยู่ 2 สาขาก็คือ Guru Gyuu สาขานางลิ้นจี่ และ Guru Gyuu สาขาต้นตำรับสะพานควายอยู่ใกล้กับธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ที่เรามาทานกันวันนี้ วิธีการเดินทางถ้ามาด้วยรถยนต์ส่วนตัวให้ปักหมุดมาตาม Google Maps สามารถจอดที่ริมถนนหน้าร้านได้หากมีที่ว่างยาวตลอดแนวเฉพาะช่วงหลัง 18.00 น. เท่านั้น และที่จอดรถอีกจุดตรงซอยข้างร้านในโครงการ The Hub มีอาคารจอดรถอัตโนมัติ คิดราคาค่าจอดชั่วโมงละ 50 บาท รับได้ประมาณ 40 คัน มาทานที่ร้านแล้วแสดงใบเสร็จจะได้รับสิทธิ์ 2 ชม. แรกจ่ายเพียงแค่ 50 บาท (ปกติราคาเต็ม 100 บาท) ในตึกมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลความสะดวกให้ถึงแค่เวลา 21.00 น. (รับรถได้ไม่เกิน 24.00 น.) ถ้ามาด้วยบริการขนส่งสาธารณะให้ลง BTS สถานีสะพานควายแล้วเดินต่อหรือเรียกรถเข้าไปที่ร้านประมาณ 700 เมตร หากเจอตึกแถวที่มีป้ายร้านสีแดงขนาดใหญ่หน้าร้านใช้ตัวอักษรสีขาวเขียนว่า Guru Gyuu Yakiniku ติดริมถนนแบบนี้แสดงว่ามาถูกร้านแล้วครับ
บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างปลอดโปร่งโล่งสบายเพราะเป็นตึกแถวใหญ่ขนาด 2 คูหาที่มีเพดานสูงเป็นพิเศษ ล้อมรอบด้วยหน้าต่างบานกระจกช่วยเปิดรับแสงจากธรรมชาติด้านนอกเข้ามาภายในร้านได้อย่างทั่วถึง พื้นปูหินขัดแบบบ้านคนจีนสมัยโบราณซึ่งให้ความทานทานแต่ก็ค่อนข้างเก่า (เพราะร้านนี้เปิดให้บริการมานานหลายปีแล้ว) โต๊ะก็มีให้เลือกทั้งแบบไม้-ปูนเชื่อมต่อกันเป็นแนวยาวแต่ก็มีฉากพลาสติกคอยกั้นเพื่อเว้นระยะห่าง (ถ้ามากับเพื่อนเยอะก็เอาฉากกั้นออกเชื่อมโต๊ะติดกันได้ง่ายๆ) เตาย่างเจาะรูเป็นวงกลมตรงกลางโต๊ะเชื่อมต่อท่อดูดควันเอาไว้เป็นอย่างดีไม่ต้องกลัวหัวเหม็น ส่วนเก้าอี้ที่ร้านเป็นไม้แท้เนื้อหนาและน้ำหนักมากจึงมั่นคง-นั่งสบาย เดินขึ้นบันไดด้านหลังมาข้างบนเป็นชั้นลอยสามารถมองลงไปเห็นด้านล่างทั้งหมดได้แบบ 180 องศา โทนสีที่เลือกใช้ภายในคือแดง/เหลือง/ขาวใช้โคมไฟสีส้มดูอบอุ่นนั่งสบาย ถึงแม้ว่าโดยรวมๆจะดูค่อนข้างเก่าไปหน่อยแต่ก็มีเสน่ห์ที่ดีไปอีกแบบนึงครับผม
นั่งที่โต๊ะสักพักพนักงานก็นำเล่มเมนูของที่ร้านออกมาให้เราเลือกราคาบุฟเฟ่ต์ในมื้อนี้แบ่งออกเป็น 4 ราคาก็คือ 1. บุฟเฟ่ต์ราคา 399 บาท สั่งได้อาหารทั้งหมด 27 เมนู (สามารถมาทานราคานี้ได้เฉพาะวันอังคารถึงวันศุกร์ตั้งแต่เวลา 11.30-15.00 น.) 2. บุฟเฟ่ต์ราคา 599 บาท สั่งอาหารได้ทั้งหมด 44 เมนู และ 3. บุฟเฟ่ต์ราคา 699 บาท สั่งอาหารได้ทั้งหมด 66 เมนู เฉพาะบุฟเฟ่ต์ 3 ราคาแรกมีน้ำเปล่าให้เติมฟรี ถ้าต้องการดื่มน้ำอีก 10 ชนิดแบบรีฟิลคิดราคาเพิ่มคนละ 55 บาท และเฉพาะบุฟเฟ่ต์ราคา 599 – 699 บาท เลือกรับของหวานได้เพียง 1 ชุดระหว่างผลไม้รวมและมินิพุดดิ้ง ยกเว้นบุฟเฟ่ต์ราคาแพงสุดคือ 4. บุฟเฟ่ต์เนื้อวากิวแท้ราคา 1,999 บาท สั่งอาหารได้ทั้งหมด 80 เมนู เติมน้ำรีฟีลได้ไม่อั้นและสั่งขนมหวานได้ไม่จำกัดจำนวน บุฟเฟ่ต์ทุกราคาสามารถสั่งอาหารพร้อมกับนั่งทานได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง เด็กส่วนสูงต่ำกว่า 100 ซม. ทานฟรี หากมีส่วนสูงตั้งแต่ 100-120 ซม. คิดเพียงครึ่งราคาจากแพ็คเกจบุฟเฟ่ต์ที่เลือก ส่วนสูงตั้งแต่ 120 ซม. ขึ้นไปคิดราคาผู้ใหญ่ ราคาที่เห็นในเล่มเมนูทั้งหมดนี้ไม่มี Vat. หรือ Service Charge มากวนใจ และถ้าทานไม่หมดทางร้านปรับจริงแต่เอาอาหารที่เหลือใส่ถุงให้พร้อมคิดเงินเป็นจาน A La Carte ตามที่เขียนไว้ในเล่มเมนู หากสงสัยว่าจานที่สั่งมาเป็นส่วนไหนของวัวที่ร้านก็มีป้ายกำกับชิ้นส่วนแต่ละจานแบ่งสีพร้อมแบ่งราคากำกับเอาไว้เรียบร้อย เป็นเล่มเมนูที่ละเอียดและอำนวยความสะดวกแก่สายเนื้อดีมากครับ
ระหว่างรอวัตถุดิบและอาหารเมนูต่างๆมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ลุกมาเดินเล่นรอบร้านก็มาพบกับป้ายประกาศณียบัตรรับประกันความอร่อยจากหลายหลายสำนักและคอลัมน์นิตยสารชื่อดังถูกตัดแปะใส่กรอบเอาไว้ติดกำแพงหน้าทางเข้าร้านช่วยการันตีความอร่อยระดับตำนานของที่นี่ได้อย่างแท้จริง ข้างๆกันเป็นตู้แช่เย็นเครื่องดื่มและ Gyuu Togo ตู้แช่แข็งเนื้อวัว-เนื้อหมูส่วนต่างๆสำหรับคนที่ติดใจคุณภาพจนอยากนำไปทำเป็นเมนูอื่นๆตามใจตัวเอง ขนาดบรรจุ 100-150 กรัมราคาเริ่มต้นที่ 149-799 บาท ภายในตู้นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่วางโชว์หน้าร้าน ใครอยากดูแคตตาล๊อกเนื้อส่วนต่างๆฉบับเต็มแนะนำให้ไปที่ Facebook : @Gyuutogo สามารถออเดอร์เดลิเวอรี่จัดส่งถึงหน้าบ้านได้อีกด้วย กลับมาที่โต๊ะอย่างที่บอกไปเบื้องต้นแล้วว่าถ้าทานบุฟเฟ่ต์ชุด 1,999 บาท จะสั่งน้ำอะไรก็ได้เลยจัดมาเป็นเอสรสองุ่นกับน้ำส้มเย็นซ่าๆ ดื่มหมดแล้วจะเปลี่ยนเป็นน้ำเขียว/เลมอน/สตอเบอรี่/โคล่า/ชูการ์ฟรี/ชาเขียว/ชามะนาว/น้ำเปล่าได้เรื่อยๆเป็นเวลา 2 ชั่วโมงเต็ม แนะนำว่าอย่าดื่มน้ำหวานๆมากเกินไปสมองจะสั่งให้อิ่มเร็วกว่าปกตินะครับ
เมื่อเราสั่งชุดบุฟเฟ่ต์ราคาสูงสุดของทางร้านสิ่งที่จะถูกเปลี่ยนไปก็คือจานรองสีดำพลาสติกและถ้วยน้ำจิ้มสีขาวพนักงานจะเก็บออกและนำชุดจานกระเบื้องที่สวยงามออกมาวางให้แทน น้ำจิ้มก็มีให้เลือกมากมายถึง 8 อย่างได้แก่ น้ำจิ้มกิวทาเระ (ยากินิคุ)/น้ำจิ้มซีฟู๊ด/น้ำจิ้มโคชูจัง/น้ำจิ้มแจ่ว/น้ำจิ้มมิโสะ/น้ำจิ้มเกลือน้ำมันงา (สั่งได้เฉพาะบุฟเฟ่ต์ราคา 1,999 เท่านั้น) ส่วนวาซาบิดองอยู่ในหมวดเครื่องเคียงเอาไว้ทานกับเนื้อย่างส่วนเกลือหิมาลายัน-พริกไทยดำมาเป็นกระบอกหมุนด้วยมือเพื่อกลิ่นที่สดใหม่ ขอพริกสด/กระเทียมสับและมะนาวปรุงรสน้ำจิ้มได้ตามใจตัวเองครับ
เนื้อต่างๆที่สั่งไปเริ่มทยอยออกมาเสิร์ฟเป็นเมนูอยู่ในราคา 1,999 บาท จานแรกคือ “เนื้อซุปเปอร์คารูบิวากิว” เป็นเนื้อวัววากิวนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นมีไขมันแทรกละเอียดสวยงามราวกับหินอ่อนบนเนื้อสีชมพู ซึ่งทางร้านได้คัด 3 สายพันธุ์มาเสิร์ฟก็คือ Kobe Wine Beef / Kagoshima และ Miyazaki เฉพาะแทรกไขมันระดับ A4 เท่านั้น (แล้วแต่รอบว่าจะได้ทานเนื้อสายพันธุ์ไหน) ส่วนตัวเคยทาน Kagoshima Wagyu A4 ที่ร้านดองกี้สาขาทองหล่อจานนี้ราคาไม่ต่ำกว่า 1,000 บาทแน่นอน ทานสัก 3 จานก็ถือว่าคุ้มค่าบุฟเฟ่ต์แน่นอนครับ ตามมาด้วย “เนื้อริปอายซุปเปอร์วากิว” จานนี้เป็นเนื้อวากิวพันธุ์ไทยแทรกไขมันรสชาติหอมหวาน-เข้มข้นกว่าเนื้อญี่ปุ่นและได้เคี้ยวมากกว่าเล็กน้อยแต่กลิ่นไม่แรงเท่าพวกออสเตรเลียหรือแองกัสทานง่ายและอร่อยสุดๆ มาต่อกันด้วย “เนื้อคารูบิวากิว” เป็นวากิวไทยส่วนเนื้อติดซี่โครงแทรกไขมันละเอียดสวยงามไม่แพ้เนื้อวากิวนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ติดเอ็นกระดูกเคี้ยวหนึบนิดๆรสชาติเข้มข้นดีงาม และ “ลิ้นวัวซุปเปอร์บางกรอบ” ลิ้นวัวไทยวากิวสไตลด์บางแทรกไขมันเต็มลิ้นทานกับเลมอนหั่นซีกสดที่แถมมาในจานบีบลงไปช่วยเพิ่มความเปรี้ยว-หอมตัดความเลี่ยนจากไขมันของลิ้นวัวได้เป็นอย่างดี
เมนูต่อไปก็เป็นเนื้อวัวนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นคือ “เนื้อซุปเปอร์บูลโกกิวากิว” ไม่แน่ใจว่าเป็นส่วนไหนของวัวแต่ยังคงใช้ 3 สายพันธุ์หลักเหมือนเคยคือ Kobe Wine Beef / Kagoshima และ Miyazaki แทรกไขมันระดับ A4 ถึงแม้จะมีไขมันแทรกไม่ละเอียดเท่าส่วนคารูบิแต่ก็มาจากวัวตัวเดียวกัน ความนุ่มนวลพอๆกันแต่รสชาติเข้มข้นกว่าเล็กน้อยสมกับเป็นเนื้อวัวคุณภาพระดับพรีเมี่ยม เมนูนอกจากนั้นเป็นเนื้อวัววากิวสายพันธุ์ไทยทั้งหมดเริ่มจาก “เนื้อใบพายซุปเปอร์วากิว” เป็นส่วนที่สายเนื้อวัวคุ้นเคยเรื่องความนุ่ม-หอมมีชั้นไขมันแทรกละเอียดเป็นลายหินอ่อนตามธรรมชาติรสชาติเข้มข้นทานง่ายๆสไตล์เนื้อไทย หากอยากทานเนื้อวัวส่วนที่เคี้ยวกรุบกรอบหั่นเสิร์ฟมาหนา-ชิ้นใหญ่เคี้ยวเต็มคำไขมันแทรกคุณภาพสูงให้สั่งเป็น “ลิ้นวัวซุปเปอร์หนานุ่ม” ย่างด้านนอกให้เกรียมๆเนื้อในชุ่มฉ่ำบีบเลมอนหรือโรยแค่เกลือสีชมพู+พริกไทยดำก็อร่อยเด็ดสุดๆ ถ้าอยากสัมผัสรสของเนื้อวัวคุณภาพดีโดยไม่ผ่านความร้อนให้สั่งเป็น “กิวทาทากิ” ยำเนื้อแบบเย็นสไตล์ญี่ปุ่นทานคู่กับกระเทียมสด-ยำต้นหอมบีบมะนาวสดช่วยเพิ่มความสดชื่นตัดไขมันและเลี่ยนของเนื้อเหลือแต่รสชาติอร่อยหอมหวานกับกลิ่นของวากิวคุณภาพดีเต็มปากในทุกๆคำที่เคี้ยวครับ
หมดเมนูเนื้อวัววากิวคุณภาพสูงก็มาต่อกันด้วยซีฟู๊ดระดับพรีเมี่ยมที่เสิร์ฟเฉพาะในบุฟเฟ่ต์ระดับราคา 1,999 บาท เริ่มจาก “ขาปูทาระบะ” เป็นขาปูอลาสก้าหรือทาระบะของแท้ไม่ใช่ปูยักษ์ชิลีขนแหลมราคาถูกๆแล้วมาหลอกว่าเป็นอลาสก้าจริงแบบที่เสิร์ฟตามบุฟเฟ่ต์โรงแรมต่างๆ แต่เกรดที่ทางร้านคัดมาเป็นแบบ Frozen ไม่ใช่ Live จึงมีรสหวานไม่มากเท่าปูเป็นแต่ราคานี้ได้ทานก็ถือว่าคุ้มมากๆแล้วครับ ตามมาด้วย “หอยเชลล์ซุปเปอร์” หรือที่เรียกกันว่าฮอกไกโดสแกลลอปตัวใหญ่เนื้อใสแจ๋วสำหรับเอาไปย่างเนื้อหวานเด้งสู้ฟันสุดๆ (ส่วนใหญ่ร้านอื่นนำมาเสิร์ฟเป็นซูชิและใช้ตัวเล็กกว่านี้) ถือว่าคุณภาพพรีเมี่ยมจริงครับผม จานต่อไปถ้าไปสั่งทานตามร้านอาหารญี่ปุ่นไซส์ขนาดนี้ขายประมาณตัวละ 250-300 บาทคือ “หอยนางรมญี่ปุ่น” ตัวใหญ่เนื้อสีขาวใสเนียนละเอียดจะทานสดหรือย่างให้สุกแล้วบีบเลมอน-ราดน้ำจิ้มซีฟู๊ดก็อร่อยเนื้อหวานฉ่ำไหลลื่นลงคอ ต่อกันด้วย “กุ้งลายกูรู” หรือกุ้งลายเสื้อราคาแพงตัวใหญ่เนื้อเยอะเด้งกรอบสู้ฟันซึ่งความหวานอาจจะไม่เท่าตัวที่เพิ่งตายมาใหม่ๆแต่ก็ถือว่าคุ้มราคาบุฟเฟ่ต์มากครับ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างปลอดโปร่งโล่งสบายเพราะเป็นตึกแถวใหญ่ขนาด 2 คูหาที่มีเพดานสูงเป็นพิเศษ ล้อมรอบด้วยหน้าต่างบานกระจกช่วยเปิดรับแสงจากธรรมชาติด้านนอกเข้ามาภายในร้านได้อย่างทั่วถึง พื้นปูหินขัดแบบบ้านคนจีนสมัยโบราณซึ่งให้ความทานทานแต่ก็ค่อนข้างเก่า (เพราะร้านนี้เปิดให้บริการมานานหลายปีแล้ว) โต๊ะก็มีให้เลือกทั้งแบบไม้-ปูนเชื่อมต่อกันเป็นแนวยาวแต่ก็มีฉากพลาสติกคอยกั้นเพื่อเว้นระยะห่าง (ถ้ามากับเพื่อนเยอะก็เอาฉากกั้นออกเชื่อมโต๊ะติดกันได้ง่ายๆ) เตาย่างเจาะรูเป็นวงกลมตรงกลางโต๊ะเชื่อมต่อท่อดูดควันเอาไว้เป็นอย่างดีไม่ต้องกลัวหัวเหม็น ส่วนเก้าอี้ที่ร้านเป็นไม้แท้เนื้อหนาและน้ำหนักมากจึงมั่นคง-นั่งสบาย เดินขึ้นบันไดด้านหลังมาข้างบนเป็นชั้นลอยสามารถมองลงไปเห็นด้านล่างทั้งหมดได้แบบ 180 องศา โทนสีที่เลือกใช้ภายในคือแดง/เหลือง/ขาวใช้โคมไฟสีส้มดูอบอุ่นนั่งสบาย ถึงแม้ว่าโดยรวมๆจะดูค่อนข้างเก่าไปหน่อยแต่ก็มีเสน่ห์ที่ดีไปอีกแบบนึงครับผม
นั่งที่โต๊ะสักพักพนักงานก็นำเล่มเมนูของที่ร้านออกมาให้เราเลือกราคาบุฟเฟ่ต์ในมื้อนี้แบ่งออกเป็น 4 ราคาก็คือ 1. บุฟเฟ่ต์ราคา 399 บาท สั่งได้อาหารทั้งหมด 27 เมนู (สามารถมาทานราคานี้ได้เฉพาะวันอังคารถึงวันศุกร์ตั้งแต่เวลา 11.30-15.00 น.) 2. บุฟเฟ่ต์ราคา 599 บาท สั่งอาหารได้ทั้งหมด 44 เมนู และ 3. บุฟเฟ่ต์ราคา 699 บาท สั่งอาหารได้ทั้งหมด 66 เมนู เฉพาะบุฟเฟ่ต์ 3 ราคาแรกมีน้ำเปล่าให้เติมฟรี ถ้าต้องการดื่มน้ำอีก 10 ชนิดแบบรีฟิลคิดราคาเพิ่มคนละ 55 บาท และเฉพาะบุฟเฟ่ต์ราคา 599 – 699 บาท เลือกรับของหวานได้เพียง 1 ชุดระหว่างผลไม้รวมและมินิพุดดิ้ง ยกเว้นบุฟเฟ่ต์ราคาแพงสุดคือ 4. บุฟเฟ่ต์เนื้อวากิวแท้ราคา 1,999 บาท สั่งอาหารได้ทั้งหมด 80 เมนู เติมน้ำรีฟีลได้ไม่อั้นและสั่งขนมหวานได้ไม่จำกัดจำนวน บุฟเฟ่ต์ทุกราคาสามารถสั่งอาหารพร้อมกับนั่งทานได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง เด็กส่วนสูงต่ำกว่า 100 ซม. ทานฟรี หากมีส่วนสูงตั้งแต่ 100-120 ซม. คิดเพียงครึ่งราคาจากแพ็คเกจบุฟเฟ่ต์ที่เลือก ส่วนสูงตั้งแต่ 120 ซม. ขึ้นไปคิดราคาผู้ใหญ่ ราคาที่เห็นในเล่มเมนูทั้งหมดนี้ไม่มี Vat. หรือ Service Charge มากวนใจ และถ้าทานไม่หมดทางร้านปรับจริงแต่เอาอาหารที่เหลือใส่ถุงให้พร้อมคิดเงินเป็นจาน A La Carte ตามที่เขียนไว้ในเล่มเมนู หากสงสัยว่าจานที่สั่งมาเป็นส่วนไหนของวัวที่ร้านก็มีป้ายกำกับชิ้นส่วนแต่ละจานแบ่งสีพร้อมแบ่งราคากำกับเอาไว้เรียบร้อย เป็นเล่มเมนูที่ละเอียดและอำนวยความสะดวกแก่สายเนื้อดีมากครับ
ระหว่างรอวัตถุดิบและอาหารเมนูต่างๆมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ลุกมาเดินเล่นรอบร้านก็มาพบกับป้ายประกาศณียบัตรรับประกันความอร่อยจากหลายหลายสำนักและคอลัมน์นิตยสารชื่อดังถูกตัดแปะใส่กรอบเอาไว้ติดกำแพงหน้าทางเข้าร้านช่วยการันตีความอร่อยระดับตำนานของที่นี่ได้อย่างแท้จริง ข้างๆกันเป็นตู้แช่เย็นเครื่องดื่มและ Gyuu Togo ตู้แช่แข็งเนื้อวัว-เนื้อหมูส่วนต่างๆสำหรับคนที่ติดใจคุณภาพจนอยากนำไปทำเป็นเมนูอื่นๆตามใจตัวเอง ขนาดบรรจุ 100-150 กรัมราคาเริ่มต้นที่ 149-799 บาท ภายในตู้นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่วางโชว์หน้าร้าน ใครอยากดูแคตตาล๊อกเนื้อส่วนต่างๆฉบับเต็มแนะนำให้ไปที่ Facebook : @Gyuutogo สามารถออเดอร์เดลิเวอรี่จัดส่งถึงหน้าบ้านได้อีกด้วย กลับมาที่โต๊ะอย่างที่บอกไปเบื้องต้นแล้วว่าถ้าทานบุฟเฟ่ต์ชุด 1,999 บาท จะสั่งน้ำอะไรก็ได้เลยจัดมาเป็นเอสรสองุ่นกับน้ำส้มเย็นซ่าๆ ดื่มหมดแล้วจะเปลี่ยนเป็นน้ำเขียว/เลมอน/สตอเบอรี่/โคล่า/ชูการ์ฟรี/ชาเขียว/ชามะนาว/น้ำเปล่าได้เรื่อยๆเป็นเวลา 2 ชั่วโมงเต็ม แนะนำว่าอย่าดื่มน้ำหวานๆมากเกินไปสมองจะสั่งให้อิ่มเร็วกว่าปกตินะครับ
เมื่อเราสั่งชุดบุฟเฟ่ต์ราคาสูงสุดของทางร้านสิ่งที่จะถูกเปลี่ยนไปก็คือจานรองสีดำพลาสติกและถ้วยน้ำจิ้มสีขาวพนักงานจะเก็บออกและนำชุดจานกระเบื้องที่สวยงามออกมาวางให้แทน น้ำจิ้มก็มีให้เลือกมากมายถึง 8 อย่างได้แก่ น้ำจิ้มกิวทาเระ (ยากินิคุ)/น้ำจิ้มซีฟู๊ด/น้ำจิ้มโคชูจัง/น้ำจิ้มแจ่ว/น้ำจิ้มมิโสะ/น้ำจิ้มเกลือน้ำมันงา (สั่งได้เฉพาะบุฟเฟ่ต์ราคา 1,999 เท่านั้น) ส่วนวาซาบิดองอยู่ในหมวดเครื่องเคียงเอาไว้ทานกับเนื้อย่างส่วนเกลือหิมาลายัน-พริกไทยดำมาเป็นกระบอกหมุนด้วยมือเพื่อกลิ่นที่สดใหม่ ขอพริกสด/กระเทียมสับและมะนาวปรุงรสน้ำจิ้มได้ตามใจตัวเองครับ
เนื้อต่างๆที่สั่งไปเริ่มทยอยออกมาเสิร์ฟเป็นเมนูอยู่ในราคา 1,999 บาท จานแรกคือ “เนื้อซุปเปอร์คารูบิวากิว” เป็นเนื้อวัววากิวนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นมีไขมันแทรกละเอียดสวยงามราวกับหินอ่อนบนเนื้อสีชมพู ซึ่งทางร้านได้คัด 3 สายพันธุ์มาเสิร์ฟก็คือ Kobe Wine Beef / Kagoshima และ Miyazaki เฉพาะแทรกไขมันระดับ A4 เท่านั้น (แล้วแต่รอบว่าจะได้ทานเนื้อสายพันธุ์ไหน) ส่วนตัวเคยทาน Kagoshima Wagyu A4 ที่ร้านดองกี้สาขาทองหล่อจานนี้ราคาไม่ต่ำกว่า 1,000 บาทแน่นอน ทานสัก 3 จานก็ถือว่าคุ้มค่าบุฟเฟ่ต์แน่นอนครับ ตามมาด้วย “เนื้อริปอายซุปเปอร์วากิว” จานนี้เป็นเนื้อวากิวพันธุ์ไทยแทรกไขมันรสชาติหอมหวาน-เข้มข้นกว่าเนื้อญี่ปุ่นและได้เคี้ยวมากกว่าเล็กน้อยแต่กลิ่นไม่แรงเท่าพวกออสเตรเลียหรือแองกัสทานง่ายและอร่อยสุดๆ มาต่อกันด้วย “เนื้อคารูบิวากิว” เป็นวากิวไทยส่วนเนื้อติดซี่โครงแทรกไขมันละเอียดสวยงามไม่แพ้เนื้อวากิวนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ติดเอ็นกระดูกเคี้ยวหนึบนิดๆรสชาติเข้มข้นดีงาม และ “ลิ้นวัวซุปเปอร์บางกรอบ” ลิ้นวัวไทยวากิวสไตลด์บางแทรกไขมันเต็มลิ้นทานกับเลมอนหั่นซีกสดที่แถมมาในจานบีบลงไปช่วยเพิ่มความเปรี้ยว-หอมตัดความเลี่ยนจากไขมันของลิ้นวัวได้เป็นอย่างดี
เมนูต่อไปก็เป็นเนื้อวัวนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นคือ “เนื้อซุปเปอร์บูลโกกิวากิว” ไม่แน่ใจว่าเป็นส่วนไหนของวัวแต่ยังคงใช้ 3 สายพันธุ์หลักเหมือนเคยคือ Kobe Wine Beef / Kagoshima และ Miyazaki แทรกไขมันระดับ A4 ถึงแม้จะมีไขมันแทรกไม่ละเอียดเท่าส่วนคารูบิแต่ก็มาจากวัวตัวเดียวกัน ความนุ่มนวลพอๆกันแต่รสชาติเข้มข้นกว่าเล็กน้อยสมกับเป็นเนื้อวัวคุณภาพระดับพรีเมี่ยม เมนูนอกจากนั้นเป็นเนื้อวัววากิวสายพันธุ์ไทยทั้งหมดเริ่มจาก “เนื้อใบพายซุปเปอร์วากิว” เป็นส่วนที่สายเนื้อวัวคุ้นเคยเรื่องความนุ่ม-หอมมีชั้นไขมันแทรกละเอียดเป็นลายหินอ่อนตามธรรมชาติรสชาติเข้มข้นทานง่ายๆสไตล์เนื้อไทย หากอยากทานเนื้อวัวส่วนที่เคี้ยวกรุบกรอบหั่นเสิร์ฟมาหนา-ชิ้นใหญ่เคี้ยวเต็มคำไขมันแทรกคุณภาพสูงให้สั่งเป็น “ลิ้นวัวซุปเปอร์หนานุ่ม” ย่างด้านนอกให้เกรียมๆเนื้อในชุ่มฉ่ำบีบเลมอนหรือโรยแค่เกลือสีชมพู+พริกไทยดำก็อร่อยเด็ดสุดๆ ถ้าอยากสัมผัสรสของเนื้อวัวคุณภาพดีโดยไม่ผ่านความร้อนให้สั่งเป็น “กิวทาทากิ” ยำเนื้อแบบเย็นสไตล์ญี่ปุ่นทานคู่กับกระเทียมสด-ยำต้นหอมบีบมะนาวสดช่วยเพิ่มความสดชื่นตัดไขมันและเลี่ยนของเนื้อเหลือแต่รสชาติอร่อยหอมหวานกับกลิ่นของวากิวคุณภาพดีเต็มปากในทุกๆคำที่เคี้ยวครับ
หมดเมนูเนื้อวัววากิวคุณภาพสูงก็มาต่อกันด้วยซีฟู๊ดระดับพรีเมี่ยมที่เสิร์ฟเฉพาะในบุฟเฟ่ต์ระดับราคา 1,999 บาท เริ่มจาก “ขาปูทาระบะ” เป็นขาปูอลาสก้าหรือทาระบะของแท้ไม่ใช่ปูยักษ์ชิลีขนแหลมราคาถูกๆแล้วมาหลอกว่าเป็นอลาสก้าจริงแบบที่เสิร์ฟตามบุฟเฟ่ต์โรงแรมต่างๆ แต่เกรดที่ทางร้านคัดมาเป็นแบบ Frozen ไม่ใช่ Live จึงมีรสหวานไม่มากเท่าปูเป็นแต่ราคานี้ได้ทานก็ถือว่าคุ้มมากๆแล้วครับ ตามมาด้วย “หอยเชลล์ซุปเปอร์” หรือที่เรียกกันว่าฮอกไกโดสแกลลอปตัวใหญ่เนื้อใสแจ๋วสำหรับเอาไปย่างเนื้อหวานเด้งสู้ฟันสุดๆ (ส่วนใหญ่ร้านอื่นนำมาเสิร์ฟเป็นซูชิและใช้ตัวเล็กกว่านี้) ถือว่าคุณภาพพรีเมี่ยมจริงครับผม จานต่อไปถ้าไปสั่งทานตามร้านอาหารญี่ปุ่นไซส์ขนาดนี้ขายประมาณตัวละ 250-300 บาทคือ “หอยนางรมญี่ปุ่น” ตัวใหญ่เนื้อสีขาวใสเนียนละเอียดจะทานสดหรือย่างให้สุกแล้วบีบเลมอน-ราดน้ำจิ้มซีฟู๊ดก็อร่อยเนื้อหวานฉ่ำไหลลื่นลงคอ ต่อกันด้วย “กุ้งลายกูรู” หรือกุ้งลายเสื้อราคาแพงตัวใหญ่เนื้อเยอะเด้งกรอบสู้ฟันซึ่งความหวานอาจจะไม่เท่าตัวที่เพิ่งตายมาใหม่ๆแต่ก็ถือว่าคุ้มราคาบุฟเฟ่ต์มากครับ
******* เกิน 10,000 ตัวอักษร ขอรีวิวต่อในช่อง Comment นะครับ *******
ชื่อสินค้า: Guru Gyuu Yakiniku สาขาสะพานควาย
คะแนน:
0.5
1.0
1.5
2.0
2.5
3.0
3.5
4.0
4.5
5.0
CR – Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
- – จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
- – ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
Food Addicts
13 เมษายน เวลา 10:26 น.
13 เมษายน เวลา 10:26 น.
แหล่งที่มา pantip.com
เนื้อวัวทั้งหมดหลังจากนี้จะเป็นเนื้อโคขุนของไทยหรือ Thai-French คุณภาพสูงเริ่มจาก “เนื้อตังเม” หรือเนื้อวัวส่วนร่องซี่โครงคัดพิเศษตัดแต่งเอาเอ็นเหนียวๆและผังผืดออกจนเกลี้ยงตัดเป็นชิ้นพอคำ ย่างให้เกรียมๆจะได้รสแบบเข้มข้นพร้อมสัมผัสกรุบกรอบและเคี้ยวนุ่มหนึบในคำเดียวกัน “เนื้อซุปเปอร์มาราธอน” หรือเนื้อวัวส่วนน่องเอ็นกรอบเป็นส่วนด้านในของน่องขาหลังวัวมีเอ็นแทรกมากกว่าเนื้อน่องปกติ โดยวัว 1 ตัวจะมีเนื้อส่วนนี้เพียงแค่ 2 ชิ้นเท่านั้น แนะนำว่าให้ย่างแบบพอสุกจะได้ความกรุบกรอบและรสเนื้อค่อยๆไหลเข้ามาในปากอย่างเข้มข้นแบบต่อเนื่องฟินห์ถึงใจ “เนื้อลูกเต๋า” เป็นเนื้อวัวหั่นมาเต๋าคุกกับกระเทียมและต้นหอมเสิร์ฟมาคล้ายๆสเต็กสไตล์ญี่ปุ่นแนะนำให้ย่างจนด้านนอกกรุบกรอบส่วนด้านในสุกอมชมพูกำลังดีเคี้ยวแล้วชุ่มฉ่ำน้ำเนื้อ+ไขมันไหลเต็มปากเข้มข้นถึงใจ และ “เนื้อติดมันส์” เป็นเนื้อส่วนท้องวัวติดไขมันสีขาวเป็นแนวยาวแบบเบคอนสไลด์มาบางย่างให้เกรียมๆจะได้ความกรุบกรอบและกลิ่นของเนื้อ+รสชาติที่เด่นชัดมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับคนที่คลั่งไคล้เนื้อวัวไขมันเยอะๆตอบโจทย์มากครับ
เนื้อต่อมาเป็นส่วนเดียวกับในบุฟเฟ่ต์ 1,999 บาทแต่เปลี่ยนจากวัวญี่ปุ่นเป็น Thai-French นั่นคือ “เนื้อบูลโกกิ” แทรกไขมันสวยเด่นชัดแบบนี้รับรองว่านุ่มและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของเนื้อไทยเข้มข้นกว่าได้รสชาติที่ดีคนละแบบเมื่อเทียบกับเนื้อญี่ปุ่น ต่อกันด้วย “เนื้อใบบัว” เป็นเนื้อที่ได้จากส่วนสีข้างบริเวณท้องล่างของวัวไขมันแทรกพอประมาณสัมผัสนุ่ม-หนึบรสชาติเข้มข้นของน้ำเนื้อค่อยๆไหลเข้ามาในปากเวลาเคี้ยว ส่วนต่อไปคือ “ลิ้นวัว” เสิร์ฟมาสไลด์บางย่างให้สุกเกรียมกลิ่นเนื้อชัดเคี้ยวกรุบกรอบทานคู่กับน้ำจิ้มแจ่วสไตล์ไทยแทนเลมอนสดก็อร่อยไปอีกแบบ และ “เนื้อหินอ่อน” หรือเนื้อวัวลูกมะพร้าวโคขุนเป็นส่วนที่มีไขมันน้อยและมีความนุ่มตามธรรมชาติแทรกไขมันเพียงเล็กน้อยพอเป็นลายหินอ่อนเบาๆรสชาติเข้มข้นเหมาะสำหรับคนชอบทานเนื้อวัวลีนๆไม่มีชั้นไขมันมากจนเกินไปครับ
จานต่อไปยังคงเป็นเนื้อวัวนั่นคือ “เนื้อสองสี” เป็นเนื้อวัวไทยส่วน Chuck Arm หรือรักบี้นำไปหมักกับเครื่องเทศสูตรเฉพาะของที่ร้านแล้วย่างให้ผิวหนังด้านนอกพอสุกเพื่อเก็บกักความอร่อยชุ่มฉ่ำเอาไว้ภายในถือเป็นการเพิ่มรสชาติพิเศษให้กับเนื้อส่วนที่ดูลีนๆมีความพิเศษมากยิ่งขึ้นไปอีกขั้น ต่อกันด้วย “เนื้อมาราธอน” หรือน่องลายโคขุนสไลด์แนวขวางติดเอ็นเคี้ยวหนึบรสชาติเข้มข้นแต่อ่อนกว่าซุปเปอร์มาราธอนเพราะอยู่ในหมวดเมนูราคาถูกที่สุดของทางร้านแต่ก็ถือว่าไม่แย่ จานสุดท้ายชื่อว่า “เนื้อจำแลง” หรือเนื้อโหนกวัวโคขุนเป็นส่วนที่ปริมาณของไขมันแทรกอยู่มากกว่าเนื้อแดงย่างแล้วกลิ่นหอม-นุ่มรสชาติอร่อยไม่มีเหนียวทานง่ายสุดๆ และ “ไส้กรอกชีสกูรู” เป็นไส้กรอกหมูบดสับหยาบผสมชีสหนังกรอบหอมกลิ่นรมควันย่างให้หนังพอตึงๆสุกเด้งเคี้ยวสู้ฟันเข้ากับชีสมัน-เค็มได้เป็นอย่างดี
เมนูซีฟู๊ดที่อยู่ในรายการเมนู 699 บาทก็ยังคงมีความพรีเมี่ยมเริ่มจาก “กุ้งแม่น้ำ” 1 ที่เสิร์ฟมาให้ถึง 3 ตัวใหญ่ปริมาณคับจานเนื้อเด้งสดไม่มีเละแถมมันหัวเยอะดูดกันมันส์สะใจ ถ้าขี้เกียจแกะเปลือกก็สั่งมาเป็น “กุ้งขาว” คัดมาไซส์ใหญ่ผ่าหลังเอาเส้นดำออกให้แล้วพร้อมย่างและนำเข้าปากได้ทันที “แซลมอนสเต็ก” ทางร้านเลือกปลาแซลมอนมาให้เป็นแบบเนื้อแน่นไขมันน้อยย่างแล้วไม่หลุดออกเป็นเสี่ยงๆหั่นมาชิ้นหนาติดหนังย่างให้กรอบทานกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดแซ่บๆรับรองว่าฟินห์ถึงใจ วัตถุดิบต่อไปถ้าไปตามตลาดจะมีย่างพร้อมทานแต่ขายราคาแพงคือ “ไข่ปลาหมึกกูรู” ที่ร้านคัดมาแต่ส่วนพวงไข่เนื้อแน่นสีขาวขุ่นเอาเมือกเหลืองใสออกย่างให้พอสุกมีรสชาติมันเคี้ยวหนึบเพลินดีมากครับ
ตามมาด้วย “หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์” ตัวใหญ่เนื้อเต็มฝาหอยรสชาติมาตรฐานไม่ได้โดดเด่นอะไร ส่วนเมนูจานต่อไปเคยเห็นแต่ในร้าน Izakaya แต่ที่ร้านนี้เอามาเสิร์ฟให้ทานไม่อั้นแบบบุฟเฟ่ต์คือ “ครีบปลากระเบนย่าง” นำมาย่างอีกครั้งบนกระทะมีความเหนียวๆกรอบๆรสชาติปลากระเบนเข้มข้น ปกติต้องจิ้มทานคู่กับมายองเนสโรยพริกป่นแต่ที่ร้านไม่มีให้น่าเสียดายตรงจุดนี้นิดหน่อย ถึงจะไม่ได้สั่งบุฟเฟ่ต์ราคา 1,999 บาท ยังคงได้ทาน “หอยเชลล์” ตัวใหญ่ซึ่งเป็นของทะเลไทยเกรดคัดพิเศษที่ความหวาน-กลิ่นหอมและสัมผัสเคี้ยวหนึบน้อยกว่าฮอกไกโดแต่ก็ถือว่าดีพอตัวครับ ใครไม่ชอบทานหอยเชลล์ที่ร้านยังมี “หอยจำแลง” หรือเอ็นหอยจอบหั่นมาเป็นชิ้นๆรสชาติคล้ายกับหอยเชลล์ที่ไม่มีกลิ่นเฉพาะตัว-เคี้ยวง่ายกว่า เหมาะสำหรับคนที่อยากทานหอยแต่กำลังฟันไม่ค่อยดีจานนี้ตอบโจทย์ครับ
นอกจากซีฟู๊ดสำหรับย่างคุณภาพสูงแล้วที่ร้านยังมีซาชิมิเกรดพรีเมี่ยมให้เลือกทานมากมายเริ่มจาก “แซลมอนซาชิมิ” เนื้อสีส้มสดแทรกไขมันสีขาวเป็นริ้วสวยงามหั่นมาชิ้นหนาเคี้ยวเต็มปากเต็มคำสุดๆ ส่วนรสชาติและความสดหวานนุ่มละลายไหลลงคอนั้นเชื่อถือได้ว่าเป็นของดีจริงๆครับ ตามมาด้วย “มากุโร่ซาชิมิ” เป็นส่วน Akami เนื้อแดงล้วนไร้ไขมันรสชาติเข้มข้นและฝีมือการตัดแต่งสวยงามไร้เส้นเอ็นเหนียวติดฟันหรือกลิ่นคาวเลือดติดลิ้นทานง่ายๆดีครับ ตอนนี้เมนูต่อไปกำลังเป็นที่นิยมที่ร้านนี้ก็มีเสิร์ฟคือ “ปลาหมึกซาชิมิ” เนื้อหวานเนียนเคี้ยวหนึบๆสู้ฟันเล็กน้อยไร้กลิ่นเหม็นคาวทานกับโชยุ-วาซาบิก็ดึงรสธรรมชาติของปลาหมึกออกมาได้อย่างสุดฟินห์ สุดท้ายเป็นซาชิมิหน้าตาธรรมดาแต่ที่ร้านทำเองคือ “ไข่หวานซาชิมิ” เนื้อไข่นวลเนียนปรุงรสหวานอ่อนๆหอมกลิ่นซุปปลากลมกล่อมสีเหลืองเท่ากันทั้งชิ้นบ่งบอกถึงฝีมือในการทำไข่ม้วนของเชฟที่ร้านนี้ไม่ธรรมดา เด็กทานได้ผู้ใหญ่ทานดีเลยครับสำหรับเมนูนี้
หมดเมนูเนื้อวัวกับซีฟู๊ดไปแล้วตามมาด้วยเนื้อหมูส่วนต่างๆเสิร์ฟในจานสีขาวแยกกับจานสีดำสำหรับคณะที่มาทานด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่แล้วไม่ทานเนื้อวัว-แพ้ซีฟู๊ดจะได้แยกออกจากกันได้ง่ายๆ จานแรกเป็น “สันนอกหมูกูรู” ที่สไลด์มาบางและติดไขมันมากกว่าปกติ “คอหมูกูรู” เป็นคอหมูแท้แทรกไขมันละเอียดเคี้ยวหนึบ “หมูติดมันส์” หรือหมูสามชั้นที่มีปริมาณเนื้อกับไขมันสมดุลกันอย่างสวยงาม และ “หมูตังเม” เป็นส่วนสามชั้นหั่นหนาพิเศษสำหรับนำมาห่อผักทานสไตล์เกาหลีเคี้ยวเต็มคำ ปริมาณเนื้อ-ไขมันสมดุลกันเคี้ยวหนึบชุ่มฉ่ำถูกใจสายเกาฯอย่างแน่นอนครับ
มาต่อกันด้วย “หมูลูกเต๋า” ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นส่วนไหนแต่ยังคงมีปริมาณเนื้อกับไขมันแทรกอย่างสมดุล-สวยงามเช่นเคย หมักด้วยกระเทียมและต้นหอมมาย่างบนเตากระทะของทางร้านออกมาเป็นสเต็กหมูสไตล์ญี่ปุ่นเคี้ยวนุ่มชุ่มฉ่ำเต็มคำดีมากๆครับ “หมูหินอ่อน” หรือสันคอหมูแทรกไขมันเนื้อนุ่มทานง่ายๆแบบที่หลายๆคนชื่นชอบ “เบคอนรมควัน” เป็นหมูสามชั้นสไลด์บางสีเข้มหอมกลิ่นเปลือกไม้จากกระบวนการรมควัน เดาว่าที่ร้านน่าจะรมควันเองเพราะเบคอนสีสดแบบนี้ไม่เคยเห็นขายตามท้องตลาดทั่วไป “ไส้กรอกหมูกูรู” เป็นไส้กรอกหมูเนื้อบดหยาบหนังกรุบกรอบหอมกลิ่นรมควันแบบเดียวกับไส้กรอกชีสจานก่อนเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบชีสหรือแพ้นมวัวก็สั่งเป็นเมนูนี้แทนครับ
13 เมษายน เวลา 10:28 น.
ที่จริงยังมีเนื้อสัตว์อีกหลายรายการให้สั่งทั้งเนื้อไก่/ปลาและเครื่องในวัวแต่ทานจนไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็เป็นผักสำหรับย่างที่สั่งมานิดหน่อยๆทั้ง หอมหัวใหญ่/ฟักทอง/ข้าวโพดอ่อน/หน่อไม้ฝรั่ง/ฝักกระเจี๊ยบ/กระเทียมจีนสไลด์และเห็ดออเร็นจิหรือเห็ดนางรมหลวงตัดแต่งมาอย่างสวยงามพร้อมย่างได้ทันที โดยทุกจานที่มาเสิร์ฟนั้นทางร้านได้ราดซอสมิโสะหวานเคลือบด้านนอกของผักและเห็ดเพื่อเพิ่มรสชาติให้มีความกลมกล่อมยิ่งขึ้นไปอีกขึ้นด้วยครับผม
วัตถุดิบต่างๆสำหรับย่างพร้อมแล้วก็ต้องสั่งเครื่องเคียงมาทานด้วยกันหลากหลายรายการเริ่มจากผักสดเอาไว้ทานกับเนื้อทั้ง “แตงกวา/ผักกาดหอม/ผักกาดขาว” นำไปจิ้มกับมิโสะหวานทานสดๆก็ยิ่งเพลิน “ชุดยำผักน้ำมันงา” ในจานประกอบไปด้วยแครอทดองรสเปรี้ยว-ปวยเล้งรสเค็มกรอบและถั่วงอกลวกคลุกน้ำมันงาหอมๆกับ “สลัดผักกูรู” เป็นผักกระหล่ำปลีสไลด์บางผสมผักกาดหอมและมะเขือเทศราดด้วยน้ำสลัดซีอิ๊วญี่ปุ่นรสเค็มอมเปรี้ยวสดชื่นหอมกลิ่นน้ำมันงา ตามมาด้วย “ยำสาหร่ายญี่ปุ่น” กับ “ยำแมงกระพรุนน้ำมันงา” เคี้ยวกรุบกรอบเย็นฉ่ำ “กิมจิ” ที่ร้านใช้กระหล่ำปลีมาทำแทนผักกาดขาวจึงกรุบกรอบรสเปรี้ยว-เค็มอมหวานนิดๆไม่เหมือนร้านอื่นที่เคยทานมา ต่อกันด้วยข้าวสวยญี่ปุ่น/ข้าวผัดกระเทียมรสชาติเข้มข้นหอมกลิ่นกระเทียมเจียวเสิร์ฟมาถ้วยเล็กๆ “ไข่ตุ๋นญี่ปุ่น” เนื้อนวนเนียนหอมกลิ่นซุปปลา+คอมบุละมุนส่วนด้านในใส่เครื่องทั้งกุ้งกับปูอัดทานอุ่นๆสบายท้องสุดๆ สุดท้ายก็น้ำซุปที่ร้านมีให้สั่ง 2 รายการคือ “ซุปสาหร่าย” น้ำใสรสหวาน-เค็มกลมกล่อมเบาๆใส่เนื้อสาหร่ายเคี้ยวกรุบๆ และ “ซุปมิโสะ” รสชาติเค็ม-หวานหอมกลิ่นสาหร่ายผสมมิโสะใส่เต้าหู้อ่อนลงไปเพิ่มรสมัน-นุ่มนวลในปากซดแล้วสดชื่นดีครับ
เมนูที่สั่งไปทุกอย่างมาเสิร์ฟครบแล้วได้เวลาทยอยวัตถุดิบต่างๆลงเตาย่างซึ่งร้านนี้ใช้ถ่านไม้ในการทำความร้อนแต่เปลี่ยนจากตะแกรงซี่ถี่ๆเป็นกระทะเคลือบเทฟลอน ข้อดีเด่นของเตาแบบนี้คือช่วยนำความร้อนได้ดีกว่าทำให้ย่างสุกได้เร็วกว่าปกติและยังช่วยรักษาน้ำอร่อยในเนื้อเอาไว้อย่างครบถ้วน ต่างจากอีกแบบที่ทำให้เนื้อมีความแห้งแต่ได้กลิ่นหอมถ่านไม้ย่างมากกว่าก็แล้วแต่คนจะชอบ ส่วนตัวรู้สึกประทับใจเตากระทะแบบนี้มากกว่าเพราะให้ความร้อนสม่ำเสมอจะย่างเนื้อหรือซีฟู๊ดก็สุกเร็วไม่ต้องรอนานและสามารถทำเวลาให้อิ่มได้ภายใน 2 ชั่วโมงอย่างแน่นอน เริ่มย่างจากเนื้อส่วนที่พรีเมี่ยมสุดของทางร้านคือ “เนื้อซุปเปอร์คารูบิวากิว A4” ลงเตาแปปเดียวก็ได้เนื้อวัวย่างสัมผัสนอกกรุบกรอบด้านในชุ่มฉ่ำอมชมพูเก็บกักความอร่อยพร้อมระเบิดในปาก เนื้อที่เป็น Signature เพิ่มมาใหม่อย่าง “เนงิชิโอะวากิว” ย่างให้สุกเพียงด้านเดียวก่อนจะห่อด้วยต้นหอมหมักเกลือก็อร่อยน้ำเนื้อกระจายเต็มปาก ซีฟู๊ดที่มีราคาแพงจับลงเตาแปปเดียวก็สุกและยังคงความชุ่มฉ่ำของวัตถุดิบเอาไว้อย่างดีเยี่ยมถูกใจเตาของร้านนี้มากๆครับ
เนื้อวัวคุณภาพสูงก่อนจะทานแค่ใส่เกลือชมพูกับพริกไทยดำก็อร่อยสุดๆแล้วแต่ประเทศไทยเมืองแห่งน้ำจิ้มเราต้องลองชิมหลายๆสูตรเริ่มจาก Original อย่างน้ำจิ้มกิวทาเระหรือน้ำจิ้มยากินิคุแบบที่เราคุ้นเคย รสชาติเค็มหวานเพียงอ่อนๆไม่เข้มข้นเกินไปจนกวนรสชาติที่แท้จริงของเนื้อมากนัก ต่อกันด้วยน้ำจิ้มเกลือน้ำมันงาที่เป็นสไตล์เกาหลีรสชาติเค็มอ่อนๆหอมน้ำมันงาและพริกไทยดำเบาๆไม่กวนรสและกลิ่นธรรมชาติของเนื้อเกินไป แต่ถ้าใครอยากทานรสจัดกว่านี้ก็บิดเกลือชมพู+พริกไทยดำบนโต๊ะผสมลงไปอีกหน่อยก็จะยิ่งเข้มข้นมากขึ้นครับ ตามมาด้วยน้ำจิ้มสูตรของคนไทยนั่นก็คือน้ำจิ้มแจ่วรสเค็มน้ำปลาเปรี้ยวมะนาวอมหวานนิดๆหอมกลิ่นพริกคั่วเผ็ดเพิ่มความสดชื่นด้วยต้นหอมซอยได้ความเป็นไทยอย่างเต็มเปี่ยม น้ำจิ้มถ้วยต่อไปอยู่ในหมวด “เครื่องเคียง” แต่ขอซอสทุกสูตรของทางร้านแล้วน้องพนักงานนำออกมาให้คือวาซาบิดองสับเนื้อกรุบกรอบเค็มอมเปรี้ยวฉุนขึ้นจมูกนิดๆทานกับเนื้อวัววากิวย่างคุณภาพพรีเมี่ยมช่วยเพิ่มความสดชื่นทำให้ทานเนื้อที่มีไขมันปริมาณมากๆได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเลยครับผม
ตามมาด้วยน้ำจิ้มมิโสะเนื้อข้นเหนียวรสหวานนำเค็มนิดๆพอกลมกล่อมจะแตะเบาๆพอให้รสชาติติดเนื้อหรือห่อกับผักสดแล้วจิ้มเป็นดิปซอสก็อร่อยหวานมันเข้ากับกลิ่นเนื้อย่างหอมๆได้เป็นอย่างดี น้ำจิ้มเกาหลีอีกสูตรที่ทางร้านมีก็คือน้ำจิ้มโคชูจังรสเค็มนำหวานอ่อนๆกลิ่นพริกโคจูจังโดดเด่นผสมน้ำมันงาอ่อนๆจะจิ้มทานแบบแตะๆหรือห่อผักสดก็อร่อยได้อารมณ์สไตล์เกาหลีแท้ๆ ตามมาด้วยน้ำจิ้มสไตล์ไทยแท้ที่หลายๆคนขาดไม่ได้แต่ร้านยากินิคุไม่ค่อยจะเสิร์ฟคือน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสชาติเปรี้ยวอมหวานเค็มพอสามรสหนักกระเทียมกับพริกเขียวเวลาจิ้มเคลือบตัวของทะเลย่างอย่างทั่วถึงจี๊ดจ๊าดสะใจสุดๆ น้ำจิ้มอย่างสุดท้ายคือโชยุ-วาซาบิไว้ทานกับซาชิมิแต่ในบรรดาร้านยากินิคุที่เราเคยรีวิวมาก็นำมาทานกับเนื้อย่างได้อีกสูตรเพียงแตะวาซาบิเล็กน้อยลงบนเนื้อก่อนจิ้มโชยุได้รสเค็มอ่อนๆวาซาบิฉุนขึ้นจมูกสดชื่นสะใจ นอกจากเหล่าน้ำจิ้มที่บอกไปแล้วเรายังสามารถจุ่มเนื้อลงในมันปูซูไวนอกเหนือจากตักทานเปล่าๆแล้วก็ยังมีเลมอนแถมมากับเมนูลิ้นเพียงบีบลงบนเนื้อก่อนทานให้รสเปรี้ยวหอมสดชื่น ประยุกต์ทานได้หลายแบบเลยครับ
ทานเนื้อย่างจานอิ่มแล้วในบุฟเฟ่ต์ราคา 1,999 บาท อย่าลืมเหลือพื้นที่ภายในกระเพาะเอาไว้รองรับของหวานมีทั้ง “ผลไม้สด” ในชุดประกอบไปด้วยแตงโมสับปะรดและฝรั่งคัดมาอย่างดีเนื้อหวานฉ่ำ ของหวาน Signature อีกอย่างของที่ร้านคือ “ไอศครีมเซอร์เบตมะนาวน้ำผึ้ง” มันคือไอศครีมรสมะนาวแบบที่เราคุ้นเคยราดด้วยน้ำผึ้งหวานๆทานแล้วอร่อยชุ่มคอและ “ไอศครีมช๊อกโกแลตชิพ” เป็นไอศครีมช๊อกโกแลตใส่เนื้อช๊อกโกแลตชิพกรุบกรอบเข้มข้นแบบ X2 สะใจคนรักช๊อกโกแลตแบบสุดๆ ส่วนของหวานจานต่อไปถ้าไม่ทานบุฟเฟ่ต์ราคา 1,999 ก็มีให้สั่งเป็นแบบ A La Carte คือ “ไอศครีมชาเขียวถั่วแดง” (ปกติราคาถ้วยละ 40 บาท) เป็นไอศครีมรสชาเขียวมัทฉะใส่นมเข้มข้นรสหวานน้อยแต่หอมมันนมถึงกลิ่นชาเขียวทานกับถั่วแดงกวนญี่ปุ่นรสหวานเนื้อนวลเนียนเข้ากันได้ดีมากๆเลยครับ
ของหวานอีกอย่างถ้าไม่สั่งบุฟเฟ่ต์ราคาสูงสุดของทางร้านก็มีขายเป็นแบบ A La Catre คือ “ถั่วแดงเย็นเกล็ดหิมะ” (ปกติราคา 40 บาท) เป็นน้ำเข็งใสราดน้ำแดงและนมข้นหวานท๊อบปิ้งด้วยถั่วแดงกวนญี่ปุ่น รสชาติหวานมันกรุบกรอบน้ำแข็งเกล็ดหิมะเคล้ากับนมและถั่วแดงเนื้อมันนวลเนียนในปากเย็นสดชื่นช่วยพื้นตัวหลังจากมื้อหนักๆได้เป็นอย่างดี ส่วนของหวานอย่างสุดท้ายเป็น “มินิพุดดิ้ง” ค่อนข้างผิดคาดจากที่คิดไว้พอสมควรเพราะมันคือพุดดิ้งปีโป้แทนที่จะเป็นพุดดิ้งไข่คาราเมลแบบที่เรารู้จักเป็นเยลลี่โยเกิร์ตผลไม้เสิร์ฟมาแบบคละรสชาติทั้งสตรอเบอรี่/ลิ้นจี่/เมลอนและมะม่วงแช่เย็นๆรสหวานเบาๆเนื้อนุ่มเด้งสดชื่นไปอีกแบบ อิ่มเต็มที่แล้วได้เวลาเรียกพนักงานเก็บเงินครับ
มื้อนี้มาทานกัน 2 คนจ่ายไปคนละ 1,999 บาท รวม 3,998 บาทสุทธิไม่มี Vat./ Service Charge ใดๆมารบกวนใจส่วนตัวถือว่าคุ้มค่ามากแต่คงแวะมาทานไม่ได้บ่อยๆ สำหรับใครอยากทานเนื้อวัวคุณภาพดีแต่จ่ายราคาไม่แพงนักแนะนำบุฟเฟ่ต์ราคา 699 ก็ฟินห์ถึงใจแล้วครับผม ข้อสังเกตที่ต้องพิจารณาของร้านนี้มีแค่ 2 อย่างคือเตาแบบกระทะเคลือบเทฟลอนและเมนูของทานเล่นต่างๆมีให้เลือกสั่งน้อย ต้องเป็นคนที่ชอบทานปิ้งย่างตัวจริงถึงจะฟินห์สุดๆ วันนี้ก็รับคะแนนอร่อยคุ้มไป 5 ดาวเลยจ้า 🌟🌟🌟🌟🌟
“ปัจจุบันร้าน Guru Gyuu Yakiniku เปิดให้บริการอีกสาขาตรงถนนนางลิ้นจี่ใกล้ตรงไหนก็ไปได้เลยครับผม”
พิกัด : เลขที่ 466/5-6 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400
เปิดให้บริการทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) เวลา 11.30-23.00 น. โทร. 02-279-9086
Facebook : www.facebook.com/GuruGyuu
ลิงค์ Google Maps : https://goo.gl/maps/77fc1ESvGPQpTC9p6
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘
13 เมษายน เวลา 10:42 น.
รูปเยอะ ภาพก็สวย
น่าทานครับ
นั่งได้ 2 ชม. ด้วย
ดีครับ น่าไป
13 เมษายน เวลา 14:26 น.
สั่งบุฟเฟต์ชุดแพงที่สุดไป…
สิ่งที่ไม่ประทับใจเลยก็คือ อาหารออกช้ามาก โดยเฉพาะถ้าสั่งเนื้อแบบพรีเมียมรอบที่สอง
เหมือนพยายามดึงเวลาของการออกอาหาร
ทั้งๆที่ ตอนผมไปทานมีลูกร้านอยู่ประมาณ 40% ของความจุร้านเท่านั้น
คุณภาพเนื้อเหมาะสมกับราคาก็จริง แต่ดึงอาหารแบบนี้ก็ไม่ไหวนะครับ
อยากให้ทางร้านปรับปรุงตรงนี้ด้วย ถ้าเข้ามาอ่าน
14 เมษายน เวลา 10:48 น.