เชฟไทยไกลบ้าน ประสบการณ์ชีวิตและการทำงานร้านอาหารที่ประเทศสวีเดน ตอนที่ 10
https://pantip.com/topic/40533846/comment14-2
ตอนที่ 5 ตามจากลิ้งค์ข้างล่างนี้นะครับ
https://pantip.com/topic/40562382
ตอนที่ 6
https://pantip.com/topic/40570508/comment2-1
ตอนที่ 7
https://pantip.com/topic/40578521
ตอนที่ 8
https://pantip.com/topic/40595193
ตอนที่ 9
https://pantip.com/topic/40615108/comment1-1
ตอนที่ 10
หลังจากที่เราสองคนได้เงินคืนมาแล้ว แล้วก็ไม่มีอะไรที่ติดค้างต่อกัน ต่างคนต่างเดินหน้าทำงานของตัวเองกันไป แต่เบื้องหลังนั้นก็ไม่จบอยู่ดี สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าของแรกที่เราหุ้นด้วย ว่งแผนกันทุกอย่างเพื่อจะให้เราอยู่สวีเดนให้ได้
การทำงานที่ใหม่ของเราก็ดำเนินต่อไป และเราสองคนก็ย้ายไปอยู่ใกล้กับร้านเพื่อความปลอดภัย และวันเสาร์อาทิตย์เราก็กลับไปนอนบ้านเก่าของเรา จากที่เราต้องทำงานที่ใหม่ ในการทำวีซ่า เราก็จะต้องทำวีซ่าใหม่กับร้านใหม่ทุกครั้งที่เราเปลี่ยนงาน เพราะทางร้านจะต้องเป็นผู้รับรองเรา วีซ่าก็จะเริ่มต้นใหม่ การนับเวลาของวีซ่าก็จะเริ่มใหม่ทุกครั้ง เจ้าของร้านใหม่ก็จัดการเรื่องเอกสารทั้งหมด ขาดอยู่อีกอย่างหนึ่งคือ เอกสารจากทางร้านเก่าที่จะต้องออกใบผ่านงานมาให้กับเรา เพราะว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าของร้านอยู่แล้ว ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่เขาไม่ทำให้เรา ทวงยังไงก็ไม่ทำให้เรา
เจ้าของร้านใหม่ก็เช็คไปทาง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่เราจะไปยื่นเอกสารการต่อวีซ่า ทาง ตม. ตอบกลับมาว่า มีจดหมายลับจากคนคนหนึ่งที่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ เป็นความลับของทางราชการ ซึ่งเขียนมาว่า มีผู้ชายสองคน ชื่อนี้ เลขประจำตัวนี้ ได้เป็นบุคคลที่อันตราย ฉ้อโกง และอาจจะเป็นพวกก่อการไม่ดี โดยบอกด้วยว่า ในกรณีที่ผู้ชายสองคนนี้มายื่นเอกสารการต่อวีซ่าใหม่ ช่วยกรุณาไม่รับเรื่องและไม่ต้องต่อวีซ่าให้กับผู้ชายสองคนนี้
หลังจากนั้นเจ้าของร้านใหม่ ก็ลองเข้าไปเช็คดูและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้อยู่ดี แต่เจ้าหน้าที่เขาก็ตอบกลับมาว่า ไม่ต้องกังวลใจอะไรเลย ทางสำนักงาน ตม.ไม่ได้เอาเรื่องพวกนี้มาพิจารณาอยู่แล้ว เพราะว่ามันก็มีเรื่องแบบนี้มาบ้าง ที่อาจจะเป็นการกลั่นแกล้งกัน ทาง ตม.ก็เห็นว่าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว นอกจากคนที่ขอวีซ่า จะมีคดีติดตัวมาเท่านั้น จึงไม่ต้องไปสนใจ
แต่ก็มีอีกอย่างนึงที่ว่า เขาไม่ยอมส่งใบผ่านงานมาให้ เจ้าหน้าที่ ตม. เอง ก็ยังบอกกับเราว่า ถ้าเขาไม่ส่งมาให้คุณ เขาผิดกฎหมายนะ แต่เจ้าของร้านใหม่ก็บอกว่าทวงไปแล้วหลายครั้งมาก เขาก็ทำเฉย ไม่สนอะไรเลย หลังจากนนั้นเจ้าหน้าที่ ตม. ก็บอกกับเราว่า เดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่ ตม. จะเป็นคนโทรไปทวงเอง ซึ่งเอกสารพวกนี้ โดยปกติเจ้าหน้าที่ไม่มีหน้าที่ในการทวงเอกสารพวกนี้ ถ้าคุณนำเอกสารมาไม่ครบก็ตีกลับไปเท่านั้นเอง และคุณก็ต้องไปติดตามมาเองเท่านั้น พอดีเราไปเจอกับเจ้าหน้าที่ใจดีมาก เขาเข้าใจเราเพราะว่าเราเล่าเรื่องให้เขาฟังคร่าวๆ และเขาก็เห็นพวกจดหมายเกี่ยวกับว่าเราเป็นคนไม่ดีที่ส่งมาทาง ตม. อีกด้วย เขาเลยเห็นใจเรา พอทาง ตม.โทรไปทวง ไม่กี่วันเจ้าของร้านเก่าก็ส่งเอกสารทางอีเมล์ไปให้กับ ตม. เป็นที่เรียบร้อย แล้วทาง ตม.ยังก็อปปี้เอกสารเอาไว้ให้เราเก็บไว้อีกต่างหาก ถือว่าดีมากๆเลยครับ
หลังจากนั้นอีกแค่ 2 อาทิตย์ วีซ่าเราสองคนก็ผ่าน ก็ยังคงต้องเป็นวีซ่าทำงานเหมือนเดิม ทางโน้นคงจะนั่งหัวเราะเยอะเราอยู่ นึกว่ายังไงก็ไม่ผ่าน แต่สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี ตอนนั้นเราก็เฉยๆกัน รู้กันแค่ไม่กี่คน แต่ข่าวของเราก็มีมาเข้าหูเรื่อยๆ แค่อย่าไปสนใจมัน ในเวลานั้นได้ทำงานอยู่ใกล้กับร้านก็ไม่ต้องคอยระแวงว่าใครจะมาทำร้ายแล้ว ทางผู้ใหญ่ใจดีอีกหลายคนที่คอยช่วยเหลือ เพื่อนๆที่ยังเห็นตัวตนที่แท้จริงของเราสองคน ก็แนะนำในการที่เราจะดำเนินชีวิตและจะต้องอยู่ที่สวีเดนต่อไป หลายๆเรื่อง และวิธีการต่อไปที่ดีที่สุดก็คือ
โดยที่เราสองคนมาอยู่ที่สวีเดนเป็นเวลาสี่ปีกว่าๆแล้ว ผมเองก็เปลี่ยนสถานะวีซ่ามาสองรอบ วีซ่าไม่ต่อเนื่อง ส่วนอีกคนสถานะวีซ่าทำงานหรือ Work permit ต่อเนื่องมา 4ปี เมื่อครบวีซ่า 4ปี โดยทำงานต่อเนื่อง ทางสวีเดนจะถือว่าคุณสามารถเลี้ยวดูตัวเอง และทำงานครบตามกำหนด และทำตามเงื่อนไขต่างๆโดยมีคุณสมบัติครบแล้ว ทาง ตม.จึงออกวีซ่าให้เป็น วีซ่าอยู่อาศัยให้เลย คือวีซ่า Permanent ส่วนตัวของผมเองซึ่งตอนแรกมาเป็นวีซ่าเจ้าของร้าน แต่มีปัญหาแล้วมาเปลี่ยนสถานะเป็นวีซ่าทำงาน ทาง ตม.จึงให้ผ่านแค่วีซ่าทำงานอย่างเดียว เป็น Work Permit เหมือนเดิม ซึ่งก็ต้องทำงานให้ต่อเนื่องและยังต้องเป็นร้านเดียวให้นานที่สุด โดยไม่เปลี่ยนร้านวีซ่ามันถึงจะต่อเนื่องและจะส่งผมให้ในการต่อวีซ่าครั้งต่อไปจะเปลี่ยนสถานะเป็นวีซ่าอยู่อาศัยได้ บางครั้งมันก็จะเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร ในการที่จะทำร้านใดร้านหนึ่งให้เกิน 2 ปีขึ้นไป เพราะเราเคยมีประสบการณ์มาแล้ว มันเลยมีความไม่แน่นอนเยอะ ทางที่ดีเราควรทำอะไรสักอย่าง
หลังจากนั้นเพื่อนๆพี่ๆก็แนะนำให้เราสองคนแต่งงานกัน (ชายกับชาย) ซึ่งเราสองคนไม่ติดอะไร เนื่องจากว่าผมไม่เคยบอกกับผู้อ่านว่าเราสองคนเป็นแฟนกันตั้งแต่ก่อนมาอยู่ตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว ต้องกราบขอโทษท่านผู้อ่านทุกๆท่านด้วย ซึ่งผมสองคนก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญอะไรเกี่ยวกับการทำงานและความเป็นอยู่ของเราสองคนอย่างไร แต่ประเด็นมีอยู่ว่า ผมสองคนเดินทางมาอยู่สวีเดน ณ ตอนนั้น เป็นเวลา 5 ปีตั้งแต่ ปี 2009 และทำงานมาโดยตลอด มีแค่ปัญหาติดขัดเรื่องธุรกิจและการกลั่นแกล้งของคนบางคนที่เอาเปรียบเราซึ่งประวัติของเราสองคนถือว่าไม่มีเสียหาย และอีกคนหนึ่งก็ถือวีซ่า อยู่อาศัยแล้ว Permanent เขาจึงแนะนำว่า ให้เราสองคนแต่งงานกัน เพื่อที่จะให้ คนที่มีวีซ่าอยู่อาศัยแล้ว และมีเงินเดือนประจำอยู่แล้ว รับรองกันเอง ก็เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน และมีงานทำทั้งคู่ ซึ่งขั้นตอนในการแต่งงานในครั้งนี้ก็มีรายละเอียดยิบย่อยพอสมควร
ขั้นตอนแรก คือเราต้องยื่นใบสมัครไปที่หน่วยงานหนึ่งของสวีเดน ว่าเราจะขอยื่นความประสงค์ในการแต่งงาน ซึ่งประเทศสวีเดน อนุญาตให้เพศเดียวกันสามารถแต่งงานกันได้ และสิทธิประโยชน์เท่าเทียมกันเหมือนชายหญิงแต่งงานกัน
หลังจากนั้นส่งเรื่องไป เพื่อให้หน่วยงานเช็คประวัติทุกอย่างของเราทั้งสองคน ว่ามีคุณสมบัติเพียงพอกับการที่คุณจะแต่งงานกัน ซึ่งเขาเช็คทุกอย่างว่าเป็นเรื่องจริงมั้ย ไม่ได้โกหก เพราะเขาสามารถเข้าไปเช็คประวัติ และประวัติทางการเงินได้ทั้งหมด รอเป็นเวลาประมาณ 2 อาทิตย์ ซึ่งแต่ละเคสก็ระยะเวลาไม่เหมือนกัน สรุปว่าเขาอนุญาตให้เราสามารถแต่งงานกันได้ โดยเช็คประวัติแล้วว้าเราสองคนอยู่ด้วยกันมาตลอดตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่ที่สวีเดน ใช้ที่อยู่เดียวกันและทำงานที่เดียวกันมาโดยตลอดเวลาที่ผ่านมา
เมื่อเราได้ใบขอแต่งงานมาแล้ว หลังจากนั้นเราต้องไปติดต่อกับ ที่ว่าการอำเภอที่เรามีที่อยู่ทะเบียนบ้านที่นั่น เพื่อที่จะขอให้ทางอำเภอจัดผู้ที่จะประกอบพิธีให้กับเรา และนำใบทะเบียนสมรสมาให้กับเราหลังจากประกอบพิธีเสร็จ ซึ่งทางพี่ๆเพื่อนๆก็ไปติดต่อสถานที่ที่จะประกอบพิธีแต่งงานให้กับเรา ซึ่งเป็นสถานที่เก่าแก่อยู่ริมน้ำ ใช้ประกอบพิธีการได้ในหลายรูปแบบ เป็นลักษณะคล้ายกับโบสถ์เล็กๆ โดยทำเรื่องขออนุญาตใช้ในการประกอบพิธีแต่งงาน แล้วทางเราก็จัดเตรียมสถานที่ที่บ้านของพี่ๆที่เขาอยากจัดงานให้เราเป็นบ้านที่มีสถานที่จัดงานแต่งของเราในแบบประเพณีไทยของเราอีกด้วย หลังจากที่เราจัดงานแต่งในพิธีแบบฝรั่งตามกฎหมายของสวีเดน
ในวันแต่งงาน ตอนเช้า ทางอำเภอจะจัดส่งเจ้าหน้าที่เดินทางมาในการประกอบพิธี ก็จะมีพี่ๆเพื่อๆมาร่วมในงาน 30 กว่าคน ที่เขายินดีกับเรา ก็ทำพิธีเหมือนเข้าโบสถ์เลย ให้คำสัญญาต่อกัน ผลัดกันสวมแหวน หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็นำใบทะเบียนสมรสมาให้กับเราทั้งสองคนและของขวัญจากทางอำเภอ 1 กล่อง ถือเป็นอันเสร็จพิธีฝรั่ง โดยที่เราสองคนไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น อันนี้ก็เป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งของประเทศนี้เขา ถ้าเราไม่จัดงานใหญ่โตที่จะต้องเช่าโบสถ์ เพราะว่าเราจะจัดพิธีที่ไหนก็ได้ ถ้ามีคนมาทำพิธีให้ก็ถือว่าได้เช่นกัน
จากนั้นเสร็จพิธีฝรั่ง เราก็ไปต่อที่บ้านเพื่อทำพิธีทางบ้านเราต่อ ในช่วงที่เราแต่งงาน มีคุณยายอายุ70 กว่าปี ซึ่งเป็นแม่ของพี่ที่คอยช่วยเหลือเราสองคนอยู่ มาเที่ยวสวีเดนพอดี ก็เลยให้เป็นผู้ใหญ่ช่วยทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือให้ด้วย ให้ท่านนำสายสิญจน์ที่ปลุกเสกจากทางวัดที่เมืองไทยมาให้ทำพิธีด้วย ก็จัดงานกันตามประสาคนไทยกันเอง กินเลี้ยงกันปกติ ก็ผ่านไป
หลังจากงานแต่งงาน เราก็เตรียมตัวที่จะขอยื่นวีซ่าใหม่ โดยการให้แฟนเราที่ได้วีซ่าอยู่อาศัยแล้ว รับรองเราเป็นเหมือนสามีภรรยากันเลย โดยที่ไม่ต้องให้ร้านเป็นผู้รับรองแล้ว ซึ่งถ้าผ่าน เราก็จะไม่ใช่วีซ่าทำงานอีกต่อไป เขาถือว่าเป็นวีซ่าแต่งงานรับรองโดยบุคคลที่เป็นสามีภรรยากันประกอบกับแฟนเรามีวีซ่าอยู่อาศัยแล้ว และแล้วเราก็ยื่นวีซ่าต่อเลย ผ่านมาอีกไม่เกิน 2 เดือน ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองก็เรียกเราไปสัมภาษณ์ เหมือนสอบสัมภาษณ์เลย
ทางเจ้าหน้าที่จะเรียกเราเข้าไปสัมภาษณ์ในห้อง ตัวต่อตัว ซึ่งผมจะเป็นคนเข้าไปก่อน คำถามมากมาย เราก็ตอบไปตามตรง เพราะว่าเราคบกันมานานตั้งแต่สมัยอยู่ที่เมืองไทย เขากลัวว่าเราจะโกหกเพื่อที่จะขอวีซ่า คำถามแบบว่าถ้าความจำไม่ดีจะตอบไม่ได้เลย ถามย้อนไปตั้งแต่เจอกันครั้งแรกที่ไหน ทำงานอะไร มาอยู่สวีเดนได้อย่างๆ เต็มไปหมดเลย นานประมาณครึ่งชั่วโมง ก็เสร็จ แล้วเขาก็เรียกแฟนเข้าไปสัมภาษณ์ต่อ โดยที่คำถามคล้ายๆกัน เขาต้องการข้อมูลที่เหมือนกัน ซึ่งเราสองคนอยู่ด้วยกันมานานคำตอบเลยไม่มีปัญหา ผ่านไปด้วยดี หลังจากนั้นก็รออีกประมาณ 2 อาทิตย์ วีซ่าก็ผ่าน ตอนนั้นดีใจกันมาก พี่ๆเพื่อนๆที่จัดงานและเป็นที่ปรึกษาให้กับเราสองคน มาแสดงความยินดีรอบสองหลังจากที่เราแต่งงานกันมา เหมือนได้เริ่มต้นกับชีวิตใหม่ที่สวีเดนเต็มๆสักที เป็นตัวของตัวเราจริงๆ เราจะสามารถไปทำงานที่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องยึดติดกับร้านเดิมๆอีกต่อไป แต่เราสองคนก็ยังทำงานที่ร้านเดิมต่อจนถึงปีกว่าๆ
และแล้วการทำงานที่ร้านปัจจุบันก็กำลังจะสิ้นสุดลงอีกครั้ง โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ จะมาเล่าให้ผู้อ่านที่ติดตามมาตลอดอย่างละเอียดเลย ขอไปเรียบเรียงต่อ จะกลับมาอีกเร็วๆนี้นะครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ หวังว่าคงจะไม่เบื่อกันเสียก่อน
11 เมษายน เวลา 12:21 น.
จขกท ผ่านเรื่องร้ายๆมามาก และคงมีเรื่องต่างๆผ่านเข้ามาอีก
สู้ๆนะครับ
13 เมษายน เวลา 07:30 น.
13 เมษายน เวลา 14:17 น.
13 เมษายน เวลา 16:12 น.
13 เมษายน เวลา 16:25 น.
13 เมษายน เวลา 16:30 น.
14 เมษายน เวลา 03:51 น.
มีพี่ที่รู้จักสนใจไปทำงาน เชพ ที่ต่างประเทศ
17 เมษายน เวลา 14:52 น.
17 เมษายน เวลา 15:06 น.