แม็คฟิชของแม็คโดนัลด์ถูกคิดค้นโดยชาวคาทอลิกเพื่อขายแก่คนในละแวกชุมชนคาทอลิกของเขาที่ไม่สามารถทานเนื้อได้ในวันศุกร์
เรื่องเริ่มที่เมืองซินซินเนติ รัฐโอไฮโอ ปี 1959 มีนักธุรกิจท่านหนึ่งนามว่าลู โกรน(Lou Groen) เขามาเปิดแฟรนไชส์ร้านแม็คโดนัลด์ที่นั่นเป็นร้านแรกของเขาแต่ดันขายไม่ค่อยได้กำไร เขาเลยลองไปสำรวจดูว่าเพราะอะไร ซึ่งไม่นานเขาก็พบว่าเป็นเพราะละแวกนั้นลูกค้าเขาส่วนมากเป็นชาวคาทอลิกซึ่งถือกฎอย่างเคร่งครัดว่าต้องไม่ทานเนื้อในวันศุกร์หรือช่วงเทศกาลมหาพรตและเมนูร้านแม็คโดนัลด์ส่วนใหญ่ก็ดันขายแต่เมนูที่มีเนื้อเสียด้วย(ตัวโกรนเองก็เป็นชาวคาทอลิกด้วยเช่นกัน)
เพื่อเป็นการแก้ปัญหาและเพิ่มยอดขาย ช่วงปี 1962 โกรนจึงคิดค้นเบอร์เกอร์ปลาขึ้นมาแทนเนื้อสัตว์เพื่อให้ชาวคาทอลิกสามารถซื้อรับประทานได้โดยเขายังได้เพิ่มแผ่นชีสและทาซอสทาร์ทาร์ด้วย ก่อนจะเดินทางไปสำนักงานใหญ่เพื่อนำเสนอกับเรย์ คร็อค(Ray Kroc ผู้ก่อตั้งแม็คโดนัลด์)
แต่เรย์ คร็อคยังไม่เอาครับ ส่วนหนึ่งเพราะเขาเองก็มีไอเดียที่จะทำเบอร์เกอร์สำหรับขายชาวคาทอลิกแล้วเหมือนกัน ซึ่งไอเดียของเขาก็ไม่มีอะไรมากครับ เพียงใช้แผ่นสับปะรดแทนเนื้อสัตว์ในเบอร์เกอร์เป็นเบอร์เกอร์มังสวิรัติไปและตั้งชื่อว่าฮูล่าเบอร์เกอร์(Hula Burger)หรือเบอร์เกอร์สับปะรดนั่นเองครับ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การแข่งขันจึงเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลมหาพรต พวกเขานำเบอร์เกอร์ปลาและสับปะรดมาอยู่ในเมนูเพื่อดูว่าเบอร์เกอร์ใครจะขายดีกว่ากัน
และผลก็ออกมาครับ ฟิเลต-โอ-ฟิชหรือเบอร์เกอร์ปลาขายได้ถึง 350 ชิ้น ส่วนเบอร์เกอร์สับปะรดนั้นทำให้คร็อคน้ำตาแทบไหลเพราะขายได้เพียง…..6 ชิ้นเท่านั้นเองครับ 555
จากยอดขายกำไรงามนี้เอง ทำให้ต่อมาในปี 1965 เบอร์เกอร์ปลาก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเมนูร้านแม็คโดนัลด์เป็นการถาวรมาจนถึงปัจจุบันนั่นเองครับ ส่วนโกรน เขาประสบความสำเร็จในด้านธุรกิจอย่างมาก เขาได้ขยายสาขาร้านของเขาก่อนที่เขาจะขายร้านแม็คโดนัลด์ของเขาที่มีมากถึง 42 ร้านคืนบริษัทในภายหลัง
/AdminMichael
ข้อมูลอ้างอิง:
https://churchpop.com/…/the-catholic-wager-that-gave…/
http://usatoday30.usatoday.com/…/2007-02-20-fish2-usat…
http://www.smithsonianmag.com/…/the-fishy-history-of…/
https://cruxnow.com/…/filet-o-fish-catholics-can…/
CR. : https://www.facebook.com/HistoryofChristianitybothWestandEast/photos/a.1674135972858011/1879029382368668/
2 มีนาคม เวลา 20:34 น.
เทศกาลมหาพรต ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระศาสนจักรกำหนดเพื่อเตรียมสมโภชปัสกา ซึ่งเป็นวันฉลองที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในรอบปีของพระศาสนจักร เพราะสมโภชปัสกาเป็นการเฉลิมฉลองการที่พระเยซูเจ้าทรงรับทรมาน สิ้นพระชนม์และทรงกลับคืนพระชนมชีพ เพื่อกอบกู้มนุษยชาติให้คืนดีกับพระเจ้า มารับชีวิตร่วมกับพระองค์
1) สำหรับผู้ใหญ่ที่เตรียมตัวรับศีลล้างบาป (คริสตังสำรอง) เป็นการเตรียมในขั้นตอนสุดท้ายของพิธีรับผู้ใหญ่าเข้าเป็นคริสตชน
2) สำหรับคริสตชน การเตรียมสมโภชปัสกาในเทศกาลมหาพรต เป็นโอกาสให้คริสตชนรื้นฟื้นคุณค่าและศักดิ์ศรีของศีลล้างบาปที่เขาได้รับ (คริสตชนจะรื้อฟื้นคำสัญญาแห่งศีลล้างบาปอย่างสง่าในคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์) และคริสตชนยังเตรียมสมโภชปัสกา ด้วยการฟังพระวาจาของพระเจ้า กลับใจ ใช้โทษบาป สวดภาวนา และบำเพ็ญกิจเมตตาปรานี
นอกจากนี้ เทศกาลมหาพรตยังเป็นโอกาสที่จะสอนคำสอนสำหรับคริสตชนผู้ใหญ่ที่ได้รับศีลล้างบาปแล้วตั้งแต่เป็นเด็ก แต่ยังไม่ได้รับศีลอภัยบาป ศีลมหาสนิท และศีลกำลัง เพื่อให้เขาเติบโตในความเชื่อ และเพื่อเตรียมพวกเขาให้รับศีลศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวนี้
CR. : http://www.kamsonbkk.com/catholic-catechism/2012-04-04-02-02-45/2572-0071878
+ จงอดอาหารและอดเนื้อในวันที่กำหนด
บทบัญญัติประการนี้ สั่งให้คริสตชนคาทอลิกต้องทำการ “พลีกรรม” รู้จักบังคับตัวเองในเรื่องต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าต้องรู้จักตัดใจลดละในสิ่งที่ตัวเองชอบบ้าง
คำว่า “อดอาหาร” หรือ รู้จักกันทั่วไปว่า “จำศีล” ในที่นี้ใช้บังคับสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์จนถึง 59 ปีบริบูรณ์ วิธีการง่ายๆ คือ สามารถรับประทานอาหารอิ่มได้เพียงมื้อเดียวในวันหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้ห้ามสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่าหรือเกินกว่ากำหนด เราก็ควรจะปฏิบัติด้วย ถ้าหากร่างกายยังปกติดีอยู่ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย และแน่นอนว่าถ้าหากมีความจำเป็น เช่น มีโรคภัยไข้เจ็บประจำตัวที่ขาดอาหารไม่ได้ หรือ ต้องเดินทาง หรือ ทำภารกิจที่ต้องการอาหาร ก็สามารถชดเชยการกระทำพลีกรรมอย่างอื่นได้ หรือ เลื่อนไปในวันอื่นก็ได้
ส่วนคำว่า “อดเนื้อ” หมายถึง การงดเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์บกทุกชนิด เนื้อสัตว์อื่นๆ เช่น ปลา สามารรับประทานได้ การอดเนื้อทุกชนิดให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 14 ปีขึ้นไป ต้องปฏิบัติ เชื่อกันว่า การที่พระศาสนจักรให้อดเนื้อสัตว์นั้น ก็คงเป็นเพราะที่ยุโรป (กรุงโรม) เขารับประทานอาหารหลัก คือ เนื้อสัตว์ ดังนั้น การงดเนื้อสัตว์จึงถือเป็นการกระทำพลีกรรม คืองดอาหารหลักนั่นเองสำหรับประเทศไทยของเราการงดเนื้อสัตว์บกจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เพราะปกติชาวไทยรับประทาน ปลา ผัก และข้าวเป็นอาหารหลักอยู่แล้ว ยิ่งตามชนทบการรับประทานอาหารเนื้อสัตว์จะมีน้อยกว่าอย่างอื่นด้วยซ้ำไป
ดังนั้น บทบัญญัติประการนี้ของพระศาสนจักรเรื่อง อดอาหารและอดเนื้อ จำเป็นต้องมีความเข้าใจให้ถูกต้องว่า พระศาสนจักรเน้นให้เราปฏิบัติด้วยจิตตารมณ์ของการทำพลีกรรม มิใช่การปฏิบัติตามตัวอักษร เช่น รับประทานอิ่มได้มื้อเดียว อีก 2 มื้อ รับประทานได้ครึ่งหนึ่ง ก็เลยพยายามวัดกันอย่างเข้มงวด
พูดเรื่องนี้ อยากจะกล่าวถึงคำ 2 คำซึ่งจะทำให้เราเข้าใจจิตตารมณ์นี้ดียิ่งขึ้น คือ คำว่า “ทรมานกาย” หมายถึง การทำให้ร่างกายต้องอดทนต้องหิวโหย เช่นการจำศีล-อดอาหาร และอีกคำหนึ่งว่า “ทรกรรมใจ” หมายถึง การรู้จักบังคับตัวเองให้ลดละเลิกสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งถือเป็นเรื้องสำคัญ เพราะเป็นจิตตารมณ์ของการพลีกรรมนั่นเอง
ส่วนกำหนดวัน-เวลาของการปฏิบัติจิตตารมณ์มีดังนี้
ก. วันที่ต้องอดอาหารหรือจำศีล มีอยู่ 2 วัน คือ วันพุธรับเถ้า และวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการใช้โทษบาป ปราบพยศชั่วของเรา และเป็นการระลึกถึง หรือ มีส่วนร่วมในพระมหาทรมานของพระเยซูคริสตเจ้าด้วย
ข. ส่วนการอดเนื้อนั้น โดยปกติมักจะกระทำในทุกๆ วันศุกร์ เพราะถือว่าเป็นวันสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสตเจ้า แต่ถ้าหากมีความจำเป็นปฏิบัติไม่ได้ ก็สามารถกระทำพลีกรรมอย่างอื่นทดแทนได้
ที่มา : หนังสือ หลักธรรมคำสอนคาทอลิก (คุณพ่อวุฒิเลิศ แห่ล้อม)
CR. : http://www.kamsonbkk.com/law-of-church/2658-0071963
+ เทศกาลมหาพรต
2 มีนาคม เวลา 20:43 น.
2 มีนาคม เวลา 22:07 น.
2 มีนาคม เวลา 23:09 น.
3 มีนาคม เวลา 14:38 น.