ถามแบบโง่ๆเลยว่า คีโตมันมีจริงไหมครับ
อยากให้ช่วยฟันธงหน่อยว่า การกินคีโต (กินไขมัน งดแป้ง) มันสามารถลด “ไขมัน” ได้จริงไหมครับ หรือเป็นแค่ทฎษฎี ขอบคุณมากครับ
ปล. ไม่ต้องไล่ไป google นะครับ ผมทำแล้ว แต่แต่ละแหล่งให้ข้อมูลไม่เหมือนกัน ปวดหัวมาก
MyRomanceIsGone
8 สิงหาคม เวลา 17:19 น.
8 สิงหาคม เวลา 17:19 น.
แหล่งที่มา pantip.com
Keto คือชื่อของกระบวนการที่นำไขมันสะสมในร่างกายมาเผาผลาญเป็นพลังงาน ไม่ใช่การกินไขมันเข้าไป
8 สิงหาคม เวลา 19:05 น.
8 สิงหาคม เวลา 19:30 น.
11 สิงหาคม เวลา 15:45 น.
แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในระยะยาวนะครับเพราะมันไม่ healthy เอาซะเลย
การเปลี่ยนไปใช้พลังงานหลักจากไขมันทำให้เพิ่มโอกาสการเผาผลาญไขมันสะสมที่มีอยู่เดิม แต่อาหารที่กินเข้าไปใหม่ก็ต้องแคลอรี่ต่ำกว่าที่ร่างกายต้องการเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็จะลดได้ยากไม่ต่างจากกินวิธีอื่นๆ
8 สิงหาคม เวลา 19:24 น.
8 สิงหาคม เวลา 19:33 น.
8 สิงหาคม เวลา 19:35 น.
8 สิงหาคม เวลา 22:05 น.
ในเหตุผลของคนที่มีความรู้ขึ้นมาหน่อย การเลือกกินคีโตมีข้อดีตรงที่น้ำหนักบนตราชั่งถูกลดลงจากตอนแรกค่อนข้างเยอะ ผลเกิดขึ้นค่อนข้างไว กลไกการดึงแหล่งพลังงานจากร่างกาย ถูกเบนทิศ ให้ใช้ไขมันสะสมบนร่างกายเป็นพลังงานหลัก เราปิดกั้น/limit การใช้พลังงานจากแหล่งคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลโดยตรง กินแบบนั้นสักพักไม่นานจะส่งผลให้คีโตนเกิด คือกระบวนการเบิร์นของไขมันเกิดขึ้นแทบตลอดเวลา เมื่อเราถึงขั้นนั้น glycogen ในร่างกายหมดลง (ที่ผมได้ยินคนเรียกว่า เข้าสถานะคีโตเร็วๆ อะไรเทือกนี้!) น้ำหนักน้ำในร่างกายส่วนใหญ่ถูกรีดออก ถือเป็นไดเอ็ทที่ประสบความสำเร็จและการันตีผลลัพท์ระยะแรกมากที่สุดเลยครับ
อีกเหตุผลที่คนรู้เยอะขึ้นอีกระดับและถือเป็นข้อดีมหาศาล คือเรื่องการอิ่มตัวที่ใช้ได้ เนื่องจากไม่มีการกระตุ้นอินซูลินที่มาก ระดับน้ำตาลในเลือดที่คงที่ (ต่ำคงที่) ส่งผลต่อระดับความหิวที่ค่อนข้างคงที่ นั่นคือหากไม่บ้าอัดกินเยอะจริง เราจะไม่หิวเท่าที่ควรและนั่นทำให้ภาพรวมการกินต่ำลง (หรือแคลอรี่ที่รับมาน้อยกว่าใช้) ส่งผลให้ลดไขมันได้ต่อเนื่องเรื่อยๆ ตราบที่ยังคุมการกินได้ดี และมันคุมได้ง่ายขึ้นเมื่อไม่ค่อยหิว ร่างกายตามทฤษฎีได้รับกรดไขมันจำเป็นครบ กรดอะมิโนจำเป็นครบ ยังใช้ชีวิตและฟังชั่นส่วนใหญ่ทำงานได้ปกติ เพราะคาร์โบไฮเดรตเท่านั้นที่โดนจำกัด แต่คาร์โบก็มีประโยชน์ ยังมีหน้าที่ของมันที่อย่างอื่นทำแทนไม่ได้ มันควรเป็นแหล่งพลังงานหลัก เป็นตัวเติมความสดชื่น ทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นตัวเสริมแรงกายและสมอง ไม่ใช่แค่ระยะยาวจะไม่ค่อยดี แต่ระยะสั้นก็เห็นผลละคับ 5555 เอาเป็นว่าจบแค่นี้ หากคำถามคือแค่ว่า KETO มีจริงหรือไม่? ก็ใช่สิ มีจริง เป็นไดเอ็ทที่ใช้กลไกในร่างกายจุดนี้ให้เกิดประโยชน์ และตั้งชื่อขึ้นมาตามสภาวะการเบิร์น แค่นั้นเอง จบ ไม่มีไรมาก! ไดเอ็ทอื่นๆก็ตั้งชื่อมามากมายให้ปวดหัว จริงๆไม่มีอะไรหรอกคับ
เทียบกับการกินแบบอื่น ผมเคยอธิบายแล้ว สรุปสั้นๆแล้วแต่เราเลย หากอย่างไหนตรงจริตกับเรา เราทำแล้วได้ผล เราก็ทำไปครับ เราทำอาหารเอง เราเลือกกินได้ไหม ปัจจัยการใช้ชีวิตเราสนับสนุนให้เรากินคีโตมากน้อยแค่ไหน ดูสิ่งต่างๆพวกนี้สำคัญกว่า แทนที่คอยเสาะหาเทรนไดเอ็ทใหม่ๆ ที่อาจจะเหมาะ/ไม่เหมาะกับเรา เราก็ปฎิบัติทดลองเลยจ้าาาาาาาาา
8 สิงหาคม เวลา 23:08 น.
ขอตอบว่า:
สมาชิก ใน facebook groups ที่กินแบบนี้ (มีทั้งไทยและต่างประเทศ หลาย groups มากๆทั่วโลก) กินแบบนี้กันนานมากๆแล้ว แลกเปลี่ยนความรู้กัน พบว่า มีแต่สุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจะพิสูจน์ยืนยันในเรื่องนี้ แนะนำให้ลองไปศึกษาข้อมูลจาก facebook pages/groups ของหมอฝรั่งและหมอไทย (ที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้) ตามที่เราแปะ links ไว้ให้ใน คคห 10
ที่บอกว่า “แต่อาหารที่กินเข้าไปใหม่ก็ต้องแคลอรี่ต่ำกว่าที่ร่างกายต้องการเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็จะลดได้ยากไม่ต่างจากกินวิธีอื่นๆ” นั้น
ขอตอบว่า:
คนยุค baby boomer generation ยังหลงผิดนับ calories กัน แต่หมอฝรั่งยุคใหม่บอกว่า “ในการลดความอ้วน ให้ปรับเปลี่ยน hormones อย่าไปนับ calories!”
แนวคิดเรื่องการนับ calories และ calorie deficit มีมาตั้งแต่ปี 1960 แล้ว ตอนนี้ล้าสมัยซะแล้ว!
แพทย์ฝรั่งยุคใหม่บอกว่า มันเป็น wrong paradigm
เรื่องการมีน้ำหนักและสัดส่วนให้ได้ตามต้องการนั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ calories แต่อยู่ที่ hormones ต่างหาก!
ลองไปฟังแพทย์ฝรั่งยุคใหม่อธิบายว่า
การนับ calories เป็นเรื่องโง่!
Counting Calories is Stupid!
แพทย์ยุคใหม่คนนี้ก็บอกให้เลิกนับ calories เหมือนกัน เค้าเป็นคนจีนที่เกิดใน Canada เค้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคอ้วน เค้าเขียนหนังสือสอนวิธีลดความอ้วน ที่ดังระเบิดและขายดีมากๆมาก คือ The Obesity Code ที่คนทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดี
เค้าพูดเหมือนๆกันคือ
การนับ calories เป็นวิธีการที่โง่ๆในการพยายามลดน้ำหนัก ลองฟังเค้าบรรยายดู
Counting Calories Is A Ridiculous Way To Try And Lose Weight | Think | NBC News
clip นี้ก็น่าสนใจ เป็นการเปรียบเทียบระหว่างประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ว่า ทำไมผู้คนยังหลงผิดนับ calories กัน ทั้งๆที่ควรกินอาหารที่เปลี่ยน hormones เพื่อให้เพิ่มการเผาผลาญได้ดีขึ้น ซึ่งจะได้ผลมากกว่า!
ถ้าอยากได้ข้อมูลใหม่ๆต้องค้นเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าค้นข้อมูลเป็นภาษาไทยเท่านั้น จะตามโลกไม่ค่อยทัน
Why are we still Counting Calories? (History vs. Science)
อันนี้เป็นการบรรยายโดย Dr. Paul Mason ซึ่งเป็นแพทย์ฝรั่งยุคใหม่อีกคน
Dr. Paul Mason: Cutting Calories does not work
การลด calories ลดความอ้วนไม่ได้ผล
10 สิงหาคม เวลา 10:59 น.
แต่ Ketogenic Diet เป็น การทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ (low-carb diet) เพื่อให้ ร่างกาย สลายโปรตีน กับไขมัน มาเป็นพลังงาน จากสถาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เรียก กระบวนการนี้ว่า ketosis มีผลที่ได้คือ keto bodies (ketones) การกระทำแบบนี้ไม่ดีต่อร่างกาย จากการสลาย โปรตีนและไขมัน ทำให้ผลที่ได้คือ น้ำหนักลดลง ซึ่ง สมัยแรกๆ ถ้าจำไม่ผิด จะเป็น hi protein low fat low carbo แต่อาหารทานยากมาก และต้องทานเยอะ คิดดู อกไก่ต้มจืดๆ เนื้อปลาลวก ต่อมาเป็น hi fat adequate protein low carbo ทานง่ายกว่า อาหารอร่อยกว่า
ข้อดีคือ ทานอาหารที่อร่อยได้ไง เพราะ อาหารที่อร่อยส่วนใหญ่มีไขมันสูง keto ทาน สเต็กได้ ถ้าวิธีอื่นๆ ต้องทานที่มีไขมันน้อย (ลดพลังงานเข้า) ไข่ลวก ปลาลวก อกไก่ต้ม ผักลวก และเห็นผลช้ากว่า keto แต่ได้สุขภาพมากกว่า
https://www.everydayhealth.com/diet-nutrition/ketogenic-diet/
https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/%E0%B8%84%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84/
8 สิงหาคม เวลา 19:52 น.
ผมเองก็เคยกินแต่ไม่ผ่านเกิดไข้ keto ก่อน และวิถีชีวิตไม่เอื้อให้กินเพราะยังหลีกเลี่ยงแป้ง น้ำตาลไม่ได้ย่อยครั้งทำให้หลุด เลยปรับมากินแบบ lowcarb diet เพิ่มโปรตีน ผักและออกกำลังกายแทน น้ำหนักลงไปจาก 87 เหลือตอนนี้ 72 ครับ และคงกินแบบนี้ไปตลอดชีวิต เพราะมันยืดหยุ่นกว่า keto วันไหนพลาดกินน้ำตาล แป้งมาก เย็นนั้นก็ออกกำลังแบบคาร์ดิโอ เผาผลาญคาร์บ ช่วงปกติก็ออกกำลังกายแบบแรงต้าน บางวันพักร่างกายก็ IF แทน
8 สิงหาคม เวลา 20:03 น.
https://youtu.be/F4VhhRTZp5g
8 สิงหาคม เวลา 22:19 น.
9 สิงหาคม เวลา 16:45 น.
นั่นก็คือ เรากินแบบ carnivore diet (ตัดน้ำตาลหมด, ตัด carbs เกือบเป็นศูนย์ และกินเนื้อสัตว์ติดมันเป็นอาหารหลัก) สลับกับกินแบบ ketogenic diet (ตัดน้ำตาลหมด, ตัด carbs เหลือไม่เกิน 20 กรัมต่อวัน และกินเนื้อสัตว์ติดมันเป็นอาหารหลัก) มาได้เกือบๆ 3 ปีแล้ว
ผลก็คือร่างกายและสมองเปลี่ยนไปเลย โรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่ (มีหลายโรค ขี้เกียจบรรยาย) หายหมด ตอนนี้สุขภาพดีเยี่ยม ร่างกายและสมองดีดแรงมากๆ ทำงานกับออกกำลังที่ใช้ร่างกายและสมองหนักๆ ได้สบายๆ ไม่เหนื่อย สภาพจิตคิดบวก มีความสุขสุดๆ
คราวนี้จะตอบคำถม จขกท นะ
ใช่ จขกท เข้าใจ ถูกต้อง ที่บอกว่า
“กินไขมัน (สัตว์) เพื่อลดไขมัน (ในร่างกายเรา) น่ะ มันเป็นไปได้”
ลองไปฟัง Dr. Ken D Berry ซึ่งเป็นแพทย์ฝรั่งยุคใหม่บรรยายเรื่อง กินไขมันสัตว์เพื่อลดความอ้วน (จะทำได้สำเร็จ ต้องไม่กินน้ำตาล และไม่กิน carbs (หรือกิน carbs ต่ำมากๆ)
นี่ไง กินหมู 3 ชั้นเพื่อลดความอ้วน (เค้าพูดว่า bacon แต่ในยุคนี้มันมี bacon ปลอดสารพิษ (คือปลอดสารปรุงแต่ง) มันก็คือหมู 3 ชั้นล้วนๆนั่นเอง
บรรยายโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการอีกคน
9 สิงหาคม เวลา 16:49 น.
10 สิงหาคม เวลา 10:19 น.
วิธีแก้คือต้องกินน้ำมากหน่อย แต่ต้องค่อยๆจิบนะ คือเอาเกลือใส่น้ำแล้วจิบช้าๆไปเป็นระยะๆ ส่วนใหญ่เค้าใช้เกลือสีชมพูหรือเกลือสมุทร หรือดอกเกลือ แบบไม่เสริมไอโอดีนกัน
อีกวิธีหนึ่งที่เราทำแล้วได้ผล นั่นก็คือ ทอดเนื้อสัตว์ในกระทะแบบ non-stick เช่นกระทะเคลือบหินอ่อน โดยไม่ใส่น้ำมัน พอทอดไปน้ำมันสัตว์จะออกมา อย่าทิ้ง ให้เอาไปทอดไข่ หรือไม่ก็เอาน้ำมันเทใส่ถ้วย ใส่เครื่องปรุงเช่น apple cider vinegar กับเกลือสีชมพู แล้วพยายามกินน้ำมันกับเนื้อสัตว์ น้ำมันจะไปหล่อลื่นลำไส้ใหญ่ ให้ถ่ายง่าย
หรือกินเนื้อสัตว์กับ butter (ของแท้ไม่มีน้ำมันพืชหรือ margarine บน) ไขมันจาก butter จะไปหล่อลื่นลำไส้ใหญ่ ได้ผลเช่นกัน
กินแบบนี้ทำให้กินแค่วันละมื้อได้ ไม่หิว เพราะอิ่มด้วยไขมันสัตว์ และถ้าร่างกายเข้า ketosis แล้ว จะเผาไขมันเป็นพลังงานได้ และเอา cholesterol ไปสร้าง sex hormones กับ vitamin D ได้
คนที่กินแบบนี้มักจะกินแค่วันละมื้อเดียว (เรียกว่ากินแบบ OMAD) และทำ IF ได้บ่อยๆโดยไม่หิวโหย
อ้อการจิบน้ำผสมเกลือ จะป้องกันไม่ให้เกิด keto flu ด้วย บางคนพอเริ่มกินแบบนี้จะเป็น keto flu คือมีอาการผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง (แต่เราไม่เคยเป็น) การป่องกันและแก้ไข keto flu มีหลายวิธี แต่การจิบน้ำผสมเกลือ เป็นวิธีการหนึ่งในหลายๆวิธีการ
กินแบบนี้ไม่ต้องกลัวเกลือ กินเกลือมากขึ้นได้
10 สิงหาคม เวลา 10:34 น.
หลายๆคนที่หัวเราะขำ เป็นเพราะ “พวกเขาเป็นคนยุค baby boomer generation” ที่ “ตกยุค” ไม่รู้ว่า “ในยุคนี้มีแนวคิดใหม่ๆด้านการแพทย์ ที่หักล้างความเชื่อเก่าๆ”
เราก็อายุมากแล้ว แต่เผอิญเราค้นข้อมูลใหม่ๆเป็นภาษาอังกฤษ online เพื่อเรียนรู้อะไรใหม่ๆอยู่ ตลอดเวลา
และนี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้ และเกิดขึ้นกับเรา
เราหยุดกินน้ำตาลทุกชนิด (รวมทั้งหยุดกินผลไม้ เพราะผลไม้มีน้ำตาล fructose หยุดกินน้ำผึ้ง และหยุดกินสารให้ความหวานทุกชนิด) หยุดกินข้าว หยุดกินขนมปัง หยุดกินก๋วยเตี๋ยว หยุดกินแป้งทุกชนิด แล้วกินเนื้อสัตว์ติดมันเป็นอาหารหลัก กินแบบนี้ได้ 2 เดือนเราลดน้ำหนักจาก 68 กก เหลือ 55 กก เท่านั้นไม่พอ อาการปวดเมื่อย หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ขาขวา (ข้อเข่าเสื่อม) เกือบพิการ อยู่ดีๆหายหมด หินปูนที่ฟันที่เยอะมากๆ อยู่ดีๆหายไปเกือบหมด! ความดันลดลงด้วย!
เหตุผลเพราะอะไร ทายซิ?
เพราะน้ำตาลกับ carbs กินเข้าไปเยอะๆแล้วก่อให้เกิด calcium deposits (แคลเซี่ยมเป็นก้อนๆ) ไปเกาะอยู่ตามเนื้อเยื่อ ข้อต่อ เส้นประสาท รวมทั้งผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการปวดเมื่อย หินปูนจับฟัน และความดันสูง ยังไงล่ะ
การไม่กินน้ำตาล ไม่กิน carbs ทำให้ insulin ต่ำ ส่งผลให้ร่างกายไม่จำเป็นต้องเผา glucose จากน้ำตาลและแป้งเป็นพลังงานหลัก ร่างกายจะเข้า ketosis state ในสภาวะเช่นนี้ ร่างกายจะ boost metabolism (เร่งระบบเผาผลาญ) และเผาไขมันเป็นพลังงานหลัก
พอเราบอกว่าเรากินแบบนี้ คนยุค baby boomer generation จะตกใจกลัวว่า จะทำให้ cholesterol สูง
แต่ ไม่ต้องกลัว
เพราะว่าแพทย์ฝรั่งยุคใหม่บอกว่า cholesterol มีประโยชน์ตั้งมากมาย ร่างกายต้องใช้ cholesterol ผลิต sex hormones ใครมี cholesterol น้อยก็แก่เร็วตายเร็ว! ร่างกายต้องมี cholesterol เพื่อสร้าง vitamin D ถ้าสร้าง vitamin D ไม่ได้ ก็ “ภูมิคุ้มกันตก”
cholesterol ทำร้ายเราก็เพราะว่า “กินน้ำตาลกับกิน carbs เข้าไป” เมื่อกินเข้าไปทำให้เกิด calcium deposits ซึ่งก่อให้เกิด inflammations (อาการอักเสบ) เมื่อเกิด inflammations ก็จะทำให้ cholesterol วิ่งไปแปะ ตรงที่มี inflammations (cholesterol ทำหน้าที่เหมือน “พนักงานดับเพลิง”) ก็เลยก่อให้เกิด NCDs (โรคไม่ติดเชื้อแต่เป็นโรคเรื้อรัง) เช่น เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ อัลไซเม่อร์ ปวดเมื่อย หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ไขมันพอกตับ โรคไต และอื่นๆอีกมากมายที่คนแก่เป็นกัน
ผู้ร้ายตัวจริงไม่ใช่ cholesterol แต่เป็นน้ำตาล + carbs
ลองไปฟังแพทย์ฝรั่งยุคใหม่บรรยายเรื่องประโยชน์ของ cholesterol
9 สิงหาคม เวลา 16:58 น.
10 สิงหาคม เวลา 01:10 น.
เมื่อก่อนเราไม่กินน้ำตาลเลย แต่กินแบบ high carb low fat คือไม่กล้ากินเนื้อสัตว์ติดมัน เพราะหลงเชื่อว่าจะก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
เราเลยกินข้าวกล้องออแกนิค ขนมปังธัญพืชออแกนิค เส้นก๋วยเตี๋ยวออแกนิค และกินผักออแกนิค ไม่กินเนื้อสัตว์ = กินเจ ไปเลย (คนกินแบบนี้เรียกว่าเป็น vegan) แต่บางทีก็กินพวกกุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก เสริมบ้าง (คนที่กินแบบนี้เรียกว่า pescatarian) ไม่กินอาหารผ่านกรรมวิธี ไม่กินอาหารที่มีผงชูรส สารกันเสีย หรือสารเคมีแปลกปลอม
เราเป็น vegan กับ pescatarian สลับกัน แบบนี้ มา 40 ปี หลงคิดว่า “เพราะไม่กินน้ำตาลฟันจะดี” แต่ “ผิดคาด” หินปูนจับเต็มปาก และฟันเสียเยอะมากๆ ต้องทั้งอุดถอนและใส่รากฟันเทียมเยอะมากๆ จนหมอฟันทักว่า “ต่อไปนี้ต้องมาขูดหินปูนทุก 3 เดือนแทนที่จะเป็น ทุก 6 เดือน”
แต่หลังจากที่เราเปลี่ยนเป็นกินแบบ low carb high (animal) fat นั่นก็คือกินแบบ carnivore diet กับ ketogenic diet สลับกันนาน เกือบๆ 3 ปี เราเอากระจกเล็กๆส่องดูฟันเราทุกวัน แปลกแต่จริง แทบไม่มีหินปูนเลย มีแต่ตรงฟันล่าง 3 ซึ่หน้า ซึ่งมีหินปูนน้อยมากๆ แบบเราขูดออกเองได้ง่ายๆภายในเวลาแค่ 2-3 นาที ตอนนี้เราไม่ได้ไปหาหมอฟันเกือบๆ 3 ปีแล้ว ไม่มีปัญหาเรื่องหินปูนหรือฟันเสียเลย!
คาดว่าเพราะตัด carbs ลงต่ำมากๆ (กิน carbs เกือบๆศูนย์ถ้าไม่กินผัก หรือกินผักบ้าง แต่กินไม่เกินวันละ 20 กรัม เพื่อกิน carbs ไม่ให้เกิน 20 กรัมต่อวัน) ที่ไม่มีหินปูนเพราะ เพราะการกินน้ำตาลกับ carbs เยอะๆ มันก่อให้เกิด calcium deposits จับอยู่ทั่วร่างกาย พอเราค้นข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ ก็พบว่า หินปูนเกิดจาก calcium deposits จริงๆด้วย!
ขนาดไม่กินน้ำตาลเลย ยังมีหินปูนเพียบเลย เพราะกิน carbs เยอะ พอตัด carbs ต่ำมากๆ หินปูนก็หายไปเกือบหมด!
หมายเหคุ: การที่เราอยู่ดีๆแทบไม่มีหินปูนเลย เพราะกินแบบนี้ ไม่ใช่หมายความว่าทุกคนที่กินแบบเราจะไม่มีหินปูน มันมีปัจจัยต่างๆอีกมากมายที่จะตัดสินเรื่องพวกนี้
เราไม่แนะนำให้ทุกคนเลิกไปขูดหินปูน แต่เราแนะนำว่า “ให้เอากระจกเล็กๆส่องฟันดูทุกวันว่ามีหรือไม่มีหินปูน ถ้ามีก็ไปขูด ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องไปขูด”
10 สิงหาคม เวลา 01:52 น.
10 สิงหาคม เวลา 21:45 น.
11 สิงหาคม เวลา 11:27 น.
ถามว่าทรมานมั้ยก็มีบ้าง เพราะอาหารส่วนใหญ่มีแป้งเป็นส่วนประกอบหลัก แต่สำหรับเราทรมานน้อยกว่ากินคลีนเยอะค่ะ
คลีนแทบไม่ได้ปรุงรส แต่คีโตทำได้ทุกอย่าง อร่อยด้วยค่ะ แค่หลายๆครั้งเราจะโหยหาข้าวจริงๆ ขนมจีนจริงๆ เพราะบุกที่เอามาแทนมันไม่อร่อยเท่าค่ะ
9 สิงหาคม เวลา 17:08 น.
บน youtube จะมีหมอฝรั่งยุคใหม่เก่งๆบรรยายเรื่องพวกนี้
หรือถ้าใครมี facebook account ก็เข้า facebook แล้ว search หรือไป follow pages/groups พวกนี้ก็ได้
เช่น
ไป follow facebook ของ Dr. Stephen Hussey
https://www.facebook.com/DrStephenHussey
ไป follow facebook ของ Dr. Paul Saladino
https://www.facebook.com/carnivoreMD
ไป follow facebook ของ Dr. James Dinicolantonio
https://www.facebook.com/drjamesdinic
ไป follow facebook ของ Dr. Pran Yogananthan
https://www.facebook.com/dr_pran_yoganathan-103587871143091
แต่ถ้าใครไม่เก่งภาษาอังกฤษก็ลองไป follow หมอไทยคนนี้ ได้ที่นี่
https://www.facebook.com/DietDoctorThailand
และ
หมอไทยคนนี้ก็เป็นอีกคน ที่เก่งเรื่องพวกนี้ ไป follow เค้าได้ ที่นี่
https://www.facebook.com/Dr.SarinFanpage
และเข้ากลุ่ม อยู่เกินร้อย กลุ่มนี้ข้อมูลแน่นมากๆ แต่ต้องระวังเค้าใช้ศัพท์ไม่ค่อยเหมือนพวกหมอฝรั่ง
คือเค้าใช้คำศัพท์ carnivore diet เหมือนหมอฝรั่ง (แล้วเรียกย่อๆว่า cd) แต่เค้าไม่ใช้ศัพท์ ketogenic diet เหมือนหมอฝรั่ง แต่ใช้คำศัพท์ ketocarnivore diet แทน (แล้วเรียกย่อๆว่า kcd) ลองไปสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มนี้ดู ต้องตอบคำถามให้ดีๆนะม่ายงั้นเค้าไม่รับเข้ากลุ่ม
link ไปกลุ่มอยู่เกินร้อยอยู่ที่นี่
https://www.facebook.com/groups/476875775801552
ใครยังไม่มี facebook account ก็แนะนำให้สมัครซะ เพราะข้อมูลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวการเมือง รวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์มากๆ
9 สิงหาคม เวลา 17:21 น.
เราคิดเอาเองว่าลดแป้งทุกอย่าง
แต่อย่างเราไม่มีไขมันสะสม ไม่มีไขมันมาใช้ น้ำตาลก็ตกเลย คือถ้าอดข้าวมือหนึ่งคือใจสั่น เป็นลมเลย
10 สิงหาคม เวลา 00:55 น.
แต่ถ้าอดข้าว อดขนมปัง อดก๋วยเตี๋ยว อดเผือกมัน แล้วกินเนื้อสัตว์ติดมันเป็นอาหารหลัก เสริมด้วย เครื่องในสัตว์ bone broth (กระดูกสัตว์ต้ม) ไข่ กุ้ง หอย ปู ปลา butter แท้ (ต้องไม่มีส่วนผสมของน้ำมันพืช) และ cheese แท้ (ต้องไม่มีสารกันเสีย หรือสารแปลกปลอม)
กินแบบนี้ แล้วกินมื้อเดียว มีแรงดีดสุดๆ!
10 สิงหาคม เวลา 01:56 น.
10 สิงหาคม เวลา 07:42 น.
และพอถึงจุดนึงจะไม่ลด และไปต่อไม่ได้ เพราะร่างกายไม่มีกล้ามเนื้อให้เผาผลาญไขมัน
และจากคนที่เคยใช้วิธีนี้ส่วนใหญ่จะเลิกไปเอง เพราะส่งผลเสียต่อร่างกาย
10 สิงหาคม เวลา 08:57 น.
ขอตอบว่า คุณเข้าใจผิด! หมอฝรั่งยุคใหม่บอกว่า การออกกำลังมีส่วนช่วยลดความอ้วนแค่ 15% เอง แต่วิถีการกินเพื่อปรับเปลี่ยน hormones มีส่วนช่วยลดความอ้วนได้มากถึง 85%
ลองดู clips 2 อันนี้ Thomas DeLauer เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและเป็นนักกล้าม ก็กินแบบ ketogenic diet แล้วก็มีกล้ามอันแข็งแรงสวยงาม
clip แรก เค้าบรรยายร่วมกับผู้เชี่ยวชาญอีกคนคือ Dr. Berg เรื่อง
The 3 Myths of Building Muscles – Dr.Berg & Thomas DeLauer’s Joint Video
ความเชื่อผิดๆ 3 อย่างเรื่องการสร้างกล้ามเนื้อ
clip นี้เค้าบรรยายเรื่อง
Keto Dieting Does Not Cause Muscle Loss: Here’s Why (Keto Science) –
วิถีการกินแบบ ketogenic diet ไม่ทำให้สูญเสียกล้ามเนื้อ และนี่คือเหตุผลว่าเพราะอะไร
ข้อมูลพวกนี้ต้องค้นเป็นภาษาอังกฤษจะได้ข้อมูลที่ทันสมัยกว่าค้นเป็นภาษาไทย
10 สิงหาคม เวลา 13:40 น.
10 สิงหาคม เวลา 10:12 น.
10 สิงหาคม เวลา 12:20 น.
คือมนุษย์เรานั้น ถูกสร้างหรือวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ คือ สามารถใช้พลังงานได้ 2 แบบหลักๆก็คือ จากกลูโคส(ซึ่งมาจากแป้งน้ำตาล) และจากไขมัน(ก็คือไขมันสะสมเปลี่ยนเป็นคีโตนนี่ล่ะ) อีกตัวก็คือโปรตีน แต่อันนี้ ถ้าร่างกายไม่จำเป็นจริงๆเช่น ไขมันสะสมมีไม่ถึง10% ร่างกายจะไม่ยอมดึงออกมาใช้อย่างเด็ดขาด เพราะโปรตีนและกล้ามเนื้อนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากต่อร่างกาย จะไม่ขอพูดถึงนะ ที่นี้ ร่างกายเรานั้น มันจะไม่ใช้ พลังงาน 2 แบบนี้พร้อมกันครับ เมื่อมีกลูโคส เช่น จากการกินอาหารเข้าไปโดยเฉพาะแป้งน้ำตาลนั้น ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า อินซุลิน ออกมาทันที เพื่อดึงน้ำตาลไปเป็นพลังงาน และเคลียร์ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่เกินนั้น เปลี่ยนไปเป็นไกโคลเจนเก็บที่ตับ หรือที่กล้ามเนื้อ(ถ้ามีที่เก็บเหลือนะ) และถ้าเต็มแล้ว มันก็จะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมเก็บไว้ตามร่างกายเราที่เห็นๆนั่นล่ะ…ที่นี่ พอเราไม่ได้กินอะไร กลูโคสลดลง ระดับฮอร์โมนอินซูลินก็จะลดลงต่ำ ร่างกายจะไม่ยอมให้ขาดพลังงานอย่างเด็ดขาด บวกกับเซลล์บางตัว เช่นสมองบางส่วน ไตบางส่วน จำเป็นต้องใช้กลูโคสเป็นพลังงานเท่านั้น ร่างกายมันสร้างมาฉลาดมากครับ มันก็เอาที่เราเก็บเป็นไกโคลเจนที่ตับมาเปลี่ยนเป็นพลังงานต่อ แล้วพอเริ่มพร่องเริ่มหมด เวลาผ่านไปอีก ยังไม่ได้กินอะไรใหม่ๆเข้าไปอีก ร่างกายก็จะเอาไขมันที่เก็บสะสมไว้ มาเปลี่ยนเป็นคีโตนให้พลังงานกับร่างกายเราอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นเราจะไม่มีทางขาดพลังงานครับ ตราบใดที่เรายังมีสต็อคไขมันเก็บไว้อย่างเพียงพอ…แต่ๆๆๆๆๆ ในยุคใหม่ ยุคอุตสาหกรรมอาหารสมัยนี้ไม่เป็นแบบนั้นครับ เราอยู่ในยุคที่ กินกันมากกว่า 3-4 มื้อขึ้นไป ในยุคที่หากินกันได้ตลอด24ชม. ยุคอาหารแปรรูป ข้าวขัดสี แป้ง น้ำตาลแปรรูปสีขาวน่ากิน ไขมันแปรรูป อื่นๆต่างๆเหล่านี้ ทำให้เราเอาแต่กินๆๆ แล้วก็กินๆๆ บวกกับอาหารพวกนี้กระตุ้นอินซูลินที่สูงมากๆ ทำให้กระตุ้นอินซูลินอยู่ตลอด และทุกๆครั้งที่กิน จะใช้อินซุลินในปริมาณที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้เราจะกินอาหารแบบเดิมๆๆ จนสะสมไปหลายปี ร่างกายใช้งานอินซูลินจนเข้าสู่ภาวะดื้ออินซุลินขึ้นเรื่อยๆๆๆๆๆ จนลงพุงอ้วน แล้วที่ผมบอกไป คือ ร่างกายจะไม่หันมาใช้ไขมันสะสมเด็ดขาด ตราบใดที่อินซูลินไม่ลดลง ดังนั้นคนยุคนี้ จึงเป็นคนที่แทบจะใช้พลังงานจากไขมันสะสมหรือคีโตนไม่เป็นเลยไง
ที่นี้ มันก็เลยมีคนที่คิดการกินแบบคีโตฯนี้ ขึ้นมา เพื่อย้อนกระบวนการต่างๆของร่างกาย ให้กลับมาทำงานได้อย่างที่มันควรจะเป็น หรือใช้คีโตนเป็นนั่นล่ะ เพื่อรักษาโรคต่างๆนั่นเอง เพราะการกินแบบนี้ จะกระตุ้นอินซูลินต่ำมาก และการที่กินไขมันนั่น มันก็คือการปรับให้ร่างกายฝึกใช้ไขมันให้เป็นก่อน เพราะที่ผ่านมานั่น ร่างกายอยู่ในโหมดใช้แต่น้ำตาล แต่ปิดประตูใช้ไขมันมานานหลายปีแล้ว และเพื่อทดแทนพลังงานจากกลูโคส จึงต้องกินไขมันดีแทนนั่นเองครับ ไม่ทราบพอเห็นภาพที่ผมอยากสื่อหรือยังครับ คีโตฯ จึงเหมาะกับการใช้แก้ระบบเผาผลาญ หรือรักษาโรคนั่นล่ะครับ
…แต่ๆๆๆๆ…แต่อีกครับ อย่าลืมว่าที่ผมบอกข้างต้น คือ ธรรมชาติของมนุษย์เรานั้น ถูกสร้างให้ใช้พลังงานได้ 2 แบบ คือ จากน้ำตาลกับไขมัน ดังนั้นเราไม่ควรจะอยู่ในโหมดใด โหมดนึง ไปตลอด หรือนานเกินไป เพราะมันอาจไม่เป็นผลดีต่อร่างกายได้ อย่างคนที่ลงพุงอ้วน ป่วยเป็นNCDs พวกนี้คืออยุ่ในโหมดน้ำตาลนานมาตลอด ส่วนคนที่กินคีโตฯและกินไปเป็นปีๆหลายปีก็อยู่ในโหมดไขมันหรือคีโตนตลอด แบบนี้มันผิดธรรมชาติ ดังนั้น เมื่อเราลดน้ำหนักได้ดั่งใจ หรือหายจากโรคต่างๆแล้ว เราก็ควรกลับมากินคาร์บฯที่ดีบ้าง เพื่อฝึกให้ร่างกายยืดหยุ่น มีระบบเผาผลาญที่ยืดหยุ่น จะใช้น้ำตาลก็ได้ จะใช้ไขมันก็ดี แบบนี้ถึงจะเป็นอะไรที่สมดุลตามธรรมชาติของมันครับ
10 สิงหาคม เวลา 15:42 น.
10 สิงหาคม เวลา 16:22 น.
คนผอมคือไม่มีไขมัน ไม่มีกล้ามเนื้อ. แต่ไม่ชอบกินเนื้อ ชอบกินผัก ลำบากเลย ต้องเนื้อ นม ไข่ ฮึบๆๆ
10 สิงหาคม เวลา 19:55 น.
10 สิงหาคม เวลา 23:38 น.
ข้างในนี่คือส่วนไหนของร่างกายบ้างครับ การเอักเสบเกิดขึ้นได้อย่างไร และเน่าแล้วไม่ตายหรือครับ
11 สิงหาคม เวลา 09:03 น.
12 สิงหาคม เวลา 07:47 น.
คำตอบเหล่าเป็นความรู้ที่ผิดและความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆเลย
11 สิงหาคม เวลา 00:52 น.
อย่างคุณแอน อังคณา ที่เกิดปัญหาสุขภาพนั่นเพราะเธอไม่ทานหมวดคาร์บเลยสักนิดเดียวมาตลอด 20 ปี ปัญหาจึงมาเกิดตอนบั้นปลาย ผมถึงได้บอกว่าเมื่อได้ นน.ที่ต้องการแล้วต้องทานโลว์คาร์บเสริมด้วยจึงจะสมดุลย์ ยังไงคีโตก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีมากและเห็นผลเร็วที่สุดสำหรับคนที่ต้องการลดความอ้วนและสำหรับคนเป็นเบาหวานครับ
11 สิงหาคม เวลา 01:38 น.
ก่อนเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ เราป่วยเป็น ความดัน อ้วนมากๆพุงยื่น ไขมันพอกตับ หลอดเลือดตีบตัน หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ข้อเข่าเสื่อมเดินกะเผลก ปวดเมื่อยระบมไปทั้งร่าง ใกล้พิการเดินไม่ได้
แต่พอหยุดกินข้าว หยุดกินขนมปัง หยุดกินเส้นก๋วยเตี๋ยว หยุดกินเผือกกับมัน คือตัด carbs ให้ต่ำสุด (เราไม่กินน้ำตาลอยู่แล้วตั้งหลายสิบปี แต่ก็มิวายป่วยเพราะกิน carbs เยอะ) แล้วเปลี่ยนเป็นกินเนื้อสัตว์ติดมันหลายๆชนิดเป็นอาหารหลัก เสริมด้วยกุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก ไข่ เครื่องในสัตว์ bone broth (น้ำต้มกระดูก) butter (ของแท้ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันพืชหรือ margarine) cheese (แบบธรรมชาติ ไม่มีสารกันเสียหรือสารเคมีเจือปน) และกินผักน้อยมากๆ (แทบไม่กินเลย หรือถ้ากินก็กินไม่เกิน 20 กรัมต่อวัน) (เราได้ carbs เล็กน้อยจากการกินผักในปริมาณที่น้อยมากๆ) กินแบบนี้ไปได้แค่ 2 เดือนน้ำหนักเราลดจาก 68 กก เหลือ 55 กก แล้วโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ค่อยๆหายไป ตอนนี้เรากินแบบ low carb high (animal) fat คือกินแบบ carnivore diet กับ ketogenic diet สลับกันมาได้เกือบๆ 3 ปี แล้วโรคภัยไข้เจ็บทั้งหมด หายไปได้เองอย่างน่ามหัศจรรย์!
ลองฟัง Dr. Boz [Annette Bosworth, MD] ซึ่งเป็นแพทย์ฝรั่งยุคใหม่บรรยายว่า carbs ไม่จำเป็นต่อร่างกายเลย เพราะอะไร!
Keto Diet: You NEED Carbs to Live – right?
Keto Diet: ต้องกิน carbs เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด – มันจริงหรือเปล่า?
การกินน้ำตาลกับ carbs เยอะๆก่อให้เกิด calcium deposits (calcium เป็นก้อนๆ) ไปเกาะอยู่ตามเนื้อเยื่อ ประสาท ข้อต่อ และผนังหลอดเลือด
ซึ่งก่อให้เกิด inflammations (อาการอักเสบ) และนำไปสู่ NCDs (โรคไม่ติดเชื้อแต่เป็นโรคเรื้อรัง) เช่น เบาหวาน ความดัน ระบบเผาผลาญพัง โรคหัวใจ ไขมันพอกตับ อัลไซเมอร์ หลอดเลือดตีบตัน และอื่นอีกมากมาย
ไปดู clip นี้ว่า calcium deposits มันไปเกาะที่ไหนในร่างกายได้บ้าง! ดูแล้วน่ากลัวมากๆ ไม่กล้ากินน้ำตาลเลย และไม่กล้ากิน carbs เยอะๆอีกเลย
11 สิงหาคม เวลา 02:29 น.
เราหลงเชื่อมานาน แต่มาตาสว่าง เลิกเชื่อ เลยตอนนี้กินแต่น้ำมันสัตว์หรือไขมันสัตว์ที่เป็น saturated fat
เพราะดู clip นี้ที่ Dr. Paul Mason ซึ่งเป็นหมอฝรั่งยุคใหม่ บรรยาย
เรื่อง
Vegetable and seed oils are inflammatory -Dr Paul Mason discusses how to improve your omega 3 index.
น้ำมันพืชและน้ำมันเมล็ดพืชก่อให้เกิดอาการอักเสบ
อันนี้ยาวหน่อย และมีข้อมูลทางด้านเทคนิคแน่นมากๆ
Why eating saturated fat won’t kill you, but vegetable oil might.
กินไขมันอิ่มตัวไม่ตาย แต่กินน้ำมันพืชอาจตายได้ เพราะอะไร
ถ้าสงสัยว่ากิน saturated fat แล้ว cholesterol ไม่พุ่งขึ้นสูงหรือ ก็ให้ไปอ่าน คคห 8 ที่เราอธิบายว่า cholesterol ทำร้ายเราเพราะเรากินน้ำตาลกับ carbs เยอะ แล้วเกิด inflammations (อาการอักเสบ) cholesterol เลย (ทำหน้าที่เป็นพนักงานดับเพลิง) วิ่งไปแปะจุดต่างๆที่มี inflammations เลยก่อนให้เกิด NCDs (โรคไม่ติดเชื้อแต่เป็นโรคเรื้อรังตั้งหลายอย่าง) แล้วใน คคห 8 นั้นเรา แปะ clip ที่หมอฝรั่งยุคใหม่อธิบายว่า cholesterol มีประโยชน์อะไรตั้งหลายอย่าง ซึ่งข้อมูลนี้ ตอนแรกๆ ทำให้คนยุค baby boomer generation อย่างเราตกใจสุดขีด555+ แต่ตอนนี้เราหายตกใจแล้ว และกล้ากินอาหารที่ให้ cholesterol สูงแล้วหละ555+
11 สิงหาคม เวลา 03:09 น.
คุณหมอการบรรยายเรื่อง
Don’t fear fat!
อย่ากลัวไขมัน!
คุณหมอมี youtube channel ที่มี clips ดีๆเรื่อง carnivore diet กับ ketogenic diet ตั้งมากมาย ลองไปศึกษาดูได้ที่นี่
https://www.youtube.com/user/drthanasak
11 สิงหาคม เวลา 03:29 น.
ขอมาอ่านข้อมูลด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
11 สิงหาคม เวลา 07:01 น.
เดี๋ยวนี้ธุรกิจขายตรงบางอย่าง ทำกันเป็นเครือข่ายมีสาขาอยู่ทั่วโลก ทีมหนึ่งทำคลิปอวดอ้างสรรพคุณจนเว่อวังแล้ว Upload ลงใน Youtube เอาให้ให้ทีมขายใช้เป็น Ref.เวลาขายของ คนที่มาขายคอร์สให้ผมนี่เป็นพยาบาลด้วยน่ะ ยิ่งได้บุคคลากรทางการแพทย์มาเป็นทีมขายก็จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือ เรื่องของธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ พวกฝรั่งที่เล่นใหญ่กว่าบ้านเรามากครับ เอาของที่พอมีคุณค่ามาอัพให้กลายเป็นของที่ดีที่สุดใน 3 โลกแล้วขายในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริงหลายเท่าตัว
ผมไม่ได้บอกว่าคีโตไม่ดีหรือไม่มีจริงน่ะครับ แต่ผมกำลังจะบอกว่า มันถูกเอามาเป็นสินค้าตัวหนึ่งในธุรกิจขายตรงไปแล้วครับ
ข้อสังเกตุพฤติกรรมของพวกขายตรง ดูได้จากการพยายามด้อยค่าสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้วก็อวดอ้างสิ่งที่ตัวเองกำลังนำเสนอ โดยอ้างอิงข้อมูลให้ดูเหมือนเป็นวิชาการหรือวิทยาศาสตร์ หรือถ้าถึงที่สุดก็จะอ้างคำพูดของ อัลเบิร์ต ไอร์สไตย์ ที่บอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้
11 สิงหาคม เวลา 09:19 น.
11 สิงหาคม เวลา 10:22 น.
มันไปกันคนละเรื่องกับข้อมูลที่เราเผยแพร่
เราไม่ขายอะไรทั้งนั้น แล้วเราก็ไม่กินขนมคีโต ไม่กินอาหารเสริมคีโตด้วย
บน facebook groups/pages ที่เราเป็นสมาชิก ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ก็ไม่มีสมาชิกไทยหรือต่างชาติ ขายผลิตภัณฑ์อะไรกัน พวกเราแลกเปลี่ยนความรู้กัน
links ที่เราแปะใน คคห 10 ก็เป็น links ไป pages ของหมอไทยและฝรั่ง ที่ให้ความรู้ ไม่มีใครขายอะไร
ถ้าไม่เชื่อก็ลองเข้าไปดู
11 สิงหาคม เวลา 21:08 น.
สมาชิกในเพจมีใครกินคีโตจริงจังแล้วหุ่นเป็นแบบนักกล้ามคนนั้นบ้าง
12 สิงหาคม เวลา 07:16 น.
นักกล้ามที่กินแบบ ketogenic diet มี youtube channel ของตัวเอง ลองเข้าไปดูยอด views ดิ สูงมากๆ
แบบนี้ไม่ต้องขายรับแต่เงินค่ายอด views จาก youtube ก็รวยแล้ว
youtube channel ของเขาอยู่ที่นี่
https://www.youtube.com/user/TheTdelauer
12 สิงหาคม เวลา 07:59 น.
แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเขากินคีโตแล้วสุขภาพดีมีกล้ามโตจริง ไม่ได้ไปแอบกินคาร์บแล้วเล่นกล้ามเพาะกายเหมือนนักเพาะกายทั่วไป แต่ออกมาบอกว่ากินคีโตเพื่อขายของล่ะก็ ผมไม่ขัดข้องครับ แม้จะตะขิดตะขวงใจว่าเราไม่ได้ไปตามดูพฤติกรรมเขาจริงๆนี่นะ
12 สิงหาคม เวลา 09:35 น.
มีจริงครับ
และลดจริง ลดไวมาก ไม่เหนื่อย ไม่ทรมาณ ไม่ต้องอด กินอิ่มๆจุกๆ ไม่ต้องออกกำลังกายเลยก็ลด
แต่ต้องเคร่งครัดในการเลือกอาหารนิดนึงนะครับ คาร์โบไฮเดรตนี่ห้ามเด็ดขาดเลยนะ
ต้องศึกษาก่อนกินนะครับ
แนะนำกลุ่มเฟส Thai Keto Friend แต่อย่าไปอ่านที่เขาโพสกันเยอะ บางทีก็มั่ว บางทีก็รั่ว
แนะนำให้อ่านเนื้อหาหลักๆในโพสปักหมุดของ admin
เพราะข้อเสียของสมาชิกกลุ่มนี้คือ ชอบยัดเยียดแนวทางการกินเพื่อสุขภาพเข้ามารวมกับ Keto
ซึ่งมันไม่เกี่ยวข้องกัน ทำให้คนหลายคนมองว่ามันยากเกินไป
สมาชิกชอบส่งต่อความเชื่อผิดๆเพราะไม่ยอมศึกษาให้ดี และส่งต่อความเชื่อผิดๆไปรุ่นต่อรุ่น จนมันสับสนปนเปกันไปหมด
ตัวอย่างเช่น
ความเชื่อเรื่อง Keto ห้ามกินน้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งมันไม่จริง
แต่เพราะแรกเริ่มแอดมินแนะนำเรื่องน้ำมันถั่วเหลืองมีผลต่อการอักเสบของเซลล์ จึงไม่แนะนำ แต่ไม่ใช่ห้าม
สมาชิกจำพวกอ่านหนังสือไม่ถึง8บรรทัด ก็เหมารวมว่าห้ามกินไปซะเฉยๆ และยังคงส่งต่อความเชื่อผิดๆนั้นต่อมาเรื่อยๆ เพราะไม่ศึกษาจริงจัง
ฯลฯ
ดังนั้น จงเชื่อ เฉพาะที่อยู่ในปักหมุดพอ
เมื่อศึกษาดีแล้ว ลองย้ายไปศึกษาแนวทางในกลุ่ม Keto แบบไม่เครียด
แล้วปรับให้เหมาะสมกับตัวเองครับ จะกินได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
11 สิงหาคม เวลา 09:26 น.
ไม่เห็นacademic paperสักแผ่น
11 สิงหาคม เวลา 10:49 น.
11 สิงหาคม เวลา 12:52 น.
ลองไปฟัง คุณหมอ Jason Fung (ผู้เขียนหนังสือ The Diabetes Code ที่ขายดีโด่งดังมาก) และใช้ ketogenic diet รักษาผู้ป่วยเบาหวานหายมาหลายคนแล้ว
ลองฟังคุณหมอบรรยาย
Keto Diet Explained – The Diabetes Code with Dr. Jason Fung
คราวนี้เป็นหมอไทย คุณหมอ diet doctor ก็เป็นอีกท่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน ketogenic diet ที่ใช้ ketogenic diet รักษาผู้ป่วยเบาหวานหายมาหลายคนแล้ว
ลองฟังคุณหมอบรรยายเรื่อง ketoacidosis มีการอธิบายระบบการทำงานของร่างกายในเชิงลึกมาก
12 สิงหาคม เวลา 08:59 น.
12 สิงหาคม เวลา 16:46 น.
– ถ่ายยาก ท้องผูก
– ผมร่วง
– มีกลิ่นตัวง่าย มีกลิ่นปาก (แก้ได้ด้วยการทานน้ำ ACV)
– นิ่วในไต (บางเคส)
12 สิงหาคม เวลา 17:01 น.
12 สิงหาคม เวลา 18:02 น.
-เคยท้องผูก แต่แก้ได้แล้ว ด้วย 2 วิธีนี้ผสมผสานกัน
1 เอาเกลือสีชมพูหรือเกลือสมุทร (แบบไม่เสริมไอโอดีน) ผสมน้ำ แล้วค่อยๆจิบทีละนิด กินให้ค่อนข้างเยอะ ของเสียจะอ่อนตัวลง ทำให้ถ่ายง่าย (ที่ต้องทำแบบนี้เพราะกินแบบ carnivore diet หรือ ketogenic diet ร่างกายจะสูญเสียน้ำเยอะ)
2 เวลาทอดเนื้อสัตว์ติดมัน ใช้กระทะแบบ non-stick (เช่นกระทะเคลือบหินอ่อน) ทอดโดยไม่ต้องใส่น้ำมัน พอทอดสุกน้ำมันสัตว์จะออกมาเยิ้ม อย่าทิ้ง แต่กินเข้าไปให้หมด โดยปรุงกับเกลือสีชมพูและ ACV (หรือจะเพิ่มผักเช่นกระเทียม พริก โหระพา กระชาย เล็กน้อย) ก็จะแก้เลื่ยนได้ และถ้ากินน้ำมันไม่หมดจริงๆเก็บไว้กินมื้อต่อไป น้ำมันจะไปหล่อลื่นลำไส้ใหญ่ ทำให้ถ่ายสะดวกมากๆ เท่านั้นไม่พอร่างกายที่เข้า ketosis แล้ว ยังเผาไขมันเป็นพลังงาน ให้มีแรงดีดสุดๆ (แรงดีกว่าเผา glucose จากน้ำตาลและ carbs เป็นพลังงาน ตั้งหลายเท่า)
ถ้ามื้อไหนไม่กินเนื้อสัตว์ติดมัน ให้กิน butter แท้ๆ (ที่ไม่มีน้ำมันพืชหรือ margarine ผสม) เข้าไปกับอาหารมื้อนั้น เพื่อให้ได้ไขมันเพียงพอ
– ผมเราร่วงก่อนกินแบบนี้ กินแบบนี้ใหม่ๆก็ยังร่วง แต่พอกินแบบนี้ไปซักพักผมเราหยุดร่วง และทั้งผมทั้งเล็บกลายเป็นยาวเร็วกว่าเดิม
– กลื่นปากกับกลิ่นตัว มีเฉพาะตอนกำลังจะเข้า ketosis ครั้งแรก แต่พอซักพักทั้วสองอย่างจะหายไปหมด
ก่อนกินแบบ carnivore diet กับ ketogenic diet สลับกัน เราเคยกินเนื้อวัวกับข้าวกล้องออแกนิคกับผักออแกนิค กินทีไร เรากลิ่นเต่าแรงมากๆ เราหลงเข้าใจผิด คิดว่าเนื้อวัวเป็นสิ่งชั่วร้าย (แต่จริงๆแล้วไม่ใช่) เมื่อเราตัดน้ำตาลเป็นศูนย์และลด carbs เหลือต่ำมากๆ ต่อให้กินเนื้อวัวเปล่าๆทุกวันก็ไม่มีกลิ่นเต่า ตอนนี้เราอาบน้ำเปล่าๆ ไม่ต้องใช้สบู่เลย เลิกใช้ยาทาขี้เต่าไปตลอดกาลเลย555
– นิ่วในไตเราเคยเป็น (คลำๆที่ไตข้างขวา มันเป็นก้อนปูดๆแข็งๆ ไม่ไขมันพอกตับ ก็ไตข้างขวามีนิ่ว (หรือทั้งสองอย่าง) ไม่กล้าไปตรวจ แต่เจ็บระบม555 แต่พอกินแบบ carnivore diet กับ ketogenic diet สลับกัน ได้เกือบๆ 3 ปี ตอนนี้คลำๆที่หลังข้างขวาดู ไม่มีก้อนปูดๆแข็งๆแล้ว หายไปหมดอะ! มหัศจรรย์สุดๆ มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมากๆอะ
เหตุผลเพราะว่า การกินน้ำตาลกับ carbs เยอะๆก่อให้เกิด calcium deposits (calcium เป็นก้อนๆ) ไปเกาะอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย เช่นตามเนื้อเยื่อ ประสาท ข้อต่อ และผนังหลอดเลือด และส่วนๆอื่นๆในร่างกายอีกหลายแห่ง ซึ่งก่อให้เกิด NCDs (โรคไม่ติดเชื้อแต่เป็นโรคเรื้อรัง) หลายอย่าง เช่น ดื้ออินซูลิน ระบบเผาผลาญพัง เบาหวาน อ้วน หลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ อัลไซเมอร์ และอื่นๆอีกตั้งมากมาย
เมื่อตัดน้ำตาลเป็นศูนย์และกิน carbs ต่ำมากๆ calcium deposits ก็หายไป ทำให้ นิ่ว (ซึ่งน่าจะเกิดจาก calcium deposits) ก็หายไปด้วย หินปูนที่ฟัน (ก็น่าจะเกิดจาก calcium deposits ด้วย) กลายเป็นว่า ตอนนี้ไม่ค่อยมีหินปูนเกาะฟันแล้ว
ไปดู video ใน คคห 18 ที่เราแปะไว้ว่า calcium deposits หน้าตาเป็นไง แล้วมันไปเกาะที่ไหนในร่างกายได้บ้าง แล้วจะตกใจว่า น้ำตาลกับ carbs ทำร้ายเราได้ไงบ้าง! มันถึงทำให้เราป่วยเป็น NCDs ได้!
12 สิงหาคม เวลา 18:10 น.
งั้นการกินไขมันที่ว่านี้คือการเพิ่มไขมันเพื่อให้การเกิด metabolism ของร่างกายเพิ่มมากขึ้น แล้วทำให้การลดน้ำหนักได้ดีขึ้นใช่มั้ยคะ
ตอนแรกคิดว่าการคิดคีโตคือการงดแป้ง แล้วก็น้ำตาลแล้วกินแบบคลีนซะอีก
11 สิงหาคม เวลา 13:41 น.
คีโตคือการเปลี่ยนระบบเผาผลาญในร่างกาย ที่จากเดิมใช้พลังงานหลักจากคาร์โบไฮเดรต มาเป็นใช้พลังงานหลักจากไขมัน
1 ตัดคาร์บเพื่อให้ไม่มีคาร์บให้ใช้
2. เพิ่มไขมัน เพราะเมื่อไม่มีคาร์บแล้ว ต้องป้อนพลังงานทดแทนเข้าไป
ลองค้นหาคีย์เวิร์ด Ketosis
11 สิงหาคม เวลา 16:54 น.
แต่จริงๆแล้วมันก็มีน้ำมันพืชบางอย่างที่คนที่กินแบบ carnivore diet หรือ ketogenic diet คิดว่า ไม่อันตราย และกินกัน แต่โดยส่วนตัวแล้วเราไม่กินน้ำมันพืชเลย
ลองดู clip นี้คุณหมอ Dr. Sten Ekberg บรรยายเรื่อง
Top 10 Cooking Oils… The Good, Bad & Toxic!
น้ำมัน 10 อย่างที่นิยมใช้ทำอาหาร…อันไหนดี อันไหนเลวแและเป็นพิษ!
อันนี้ง่ายหน่อยเป็น clip ภาษาไทย คุณหมอ diet doctor อธิบาย เรื่องกระบวนการทางเคมีโดยละเอียด เพื่อระบุว่า น้ำมันพืชแบบไหนอันตราย เพราะอะไร และทำไม margarine (เนยเทียม) อันตราย
ชื่อ clip นี้คือ
ไขมันทรานส์และน้ำมันเติมไฮโดรเจนคืออะไร?
11 สิงหาคม เวลา 21:43 น.
ไม่ต้องไปคิดไรเยอะ ได้กินอย่างที่ชอบแม้ไม่เยอะมาก ไม่ต้องเคร่งอะไรนักหนา เดินไปทางไหนก็มีของกินตลอด
ไม่ลำบากปรุงจนเกินไป
11 สิงหาคม เวลา 21:58 น.
ทีก็จะเหลือแต่โปรตีนกะไขมันให้กิน แต่ไขมันกินได้เยอะกว่า เพราะโปรตีนถ้ากินมากไปทำให้ระดับคีโตนลดลง
12 สิงหาคม เวลา 22:33 น.