เสียงจากใจผู้บริโภคถึงผู้ประกอบกิจการ
**หมายเหตุ : โพสหรือข้อความที่จะเขียนต่อไปนี้ขอไม่โยงกับการเมืองนะครับ(เดี๋ยวจะยาวเกินไป)**
.
เริ่ม :
เนื่องจากปัจจุบันเกิดวิกฤตหลายๆอย่างในประเทศไทย ส่งผลให้อาจจะมีร้านค้า(ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขายหนังสือ ฯลฯ)อาจจะประสบเหตุการณ์แย่ๆหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ลูกค้าไม่มี ยอดขายตก กำไรแทบไม่เหลือ รวมไปถึงต้องปิดกิจการ ซึ่งสำหรับผู้ประกอบกิจการที่กำลังเจอเหตุการณ์แบบนี้ผมอยากให้รบกวนช่วยอ่านสิ่งที่ผมอยากเขียน เพราะอยากให้เข้าใจในมุมของผู้บริโภคด้วย ซึ่งเสียงของผมอาจจะเป็นเสียงเล็กๆแต่คิดว่ามีประโยชน์แน่ๆ
.
ในมุมผมฐานะผู้บริโภค(สำหรับผม) : สิ่งที่ผมเจอคือ
1.รายได้ต่อเดือนค่อนข้างลดลงทำให้การใช้จ่ายต้องระวังมากขึ้น อาจจะไม่ถึงกับงด(กินของอร่อย หรือ เที่ยว รวมถึงซื้อของเปย์ตัวเอง) แต่ก็ใช้จ่ายน้อยลง(ซึ่งตอนนี้หลายๆคนก็อาจจะเป็นแบบผม
2.นิสัยการบริโภคของผมคือสามารถซื้อของที่มีราคาได้ แต่ต้องอยู่ในconceptที่ว่า “คุ้มค่ากับการเสียเงิน” และ “ต้องสะดวกสบาย”
.
3.ผมไม่ค่อยมีแพลนในการซื้อของ(สำหรับของทั่วๆไป เช่น ของกิน ของราคาไม่แพง(ไม่เกิน2,000) ของฟุ่มเฟือยเล็กๆน้อยๆ)ถ้าอยากซื้อคือเป็นความคิดเดี๋ยวนั้นจริงๆแล้วซื้อเลย
.
4.WFH มาเป็นแรมปี แทบจะไม่ได้ออกจากบ้านอยู่แล้ว การกิน การซื้อจะค่อนข้างเหมือนเดิมและซ้ำๆ
.
ปัญหาที่เจอคือ :
1.ซื้อของเยอะแต่บางร้านไม่ให้ถุง : ถามจริงผู้บริโภคอุส่าห์เอาเงินมาให้ทำไมถึงไม่บริการสักหน่อย อาจจะไม่ใช่ถุงพลาสติกเพราะโลกร้อน แต่มันมีทางเลือกให้อีก เช่น ถุงกระดาษ หรือ ถุงพลาสติกแบบย่อยง่าย(ต่างประเทศใช้อันนี้กันเยอะ) เพราะฉะนั้นครั้งหน้าผมจะไม่มาซื้อร้านนี้อีก เพราะมีทางเลือกอื่นให้ผมเลือก เช่น สั่งออนไลท์ หรือ ไปร้านอื่นที่บริการดีกว่า
.
2.ราคาไม่คุ้มกับของที่ได้ : ผมเข้าใจว่ามันอาจจะเป็นราคามาตรฐานของร้านในเหตุการณ์ปกติ แต่อย่าลืมนะครับว่าปัจจุบันมัน”ไม่ปกติ” ดังนั้นอาจจะลดราคาลงมาหน่อยให้ผู้บริโภคสามารถเอื้อมถึงได้ง่ายขึ้น เช่น
โดยปกติ สินค้าราคา100บาท
ต้นทุนของสินค้าราคา 80บาท
เท่ากับ กำไรขั้นต้น 20 บาท
อาจจะมีค่าใช้จ่ายต่างๆ(เช่นเงินเดือนพนักงาน ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเช่า) เป็น ราคา 5 บาท
เท่ากับจะมีกำไรสุทธิ 15 บาท
ดังนั้นผมอาจจะเสนอว่าอยากให้ลดราคาขายลงมา อาจจะเหลือ90 หรือ 85 บาท
ใช่ครับกำไรมันอาจจะน้อยหน่อย แต่ถ้ามันทำให้สามารถประคองร้านต่อไปได้อีกหน่อย ก็ถือว่า โอเคใช่ไหมครับ
.
3.สินค้าไม่ได่มาตรฐาน : ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่กลับมาซื้ออีกแน่นอน สิ่งที่เจอมาคือมีร้านโอ..(ขออนุญาต เพื่อเป็นเคสตัวอย่างนะครับ) ทุกครั้งเวลาผมหิว(ในเหตุการณ์ปกติ) ผมจะนึกถึงร้านนี้เสมอ และไปทานที่ร้านตามห้าง และทุกครั้งที่ไปกินก็ชอบมากๆ แต่ราคาค่อนข้างแพงซึ่งตอนเหตุการณ์ปกติผมก็รับได้อยู่นะเพราะมันตอบสนองneedผมได้ แต่ตอนนี้กินที่ร้านไม่ได้ ผมเลยสั่งแกร๊ปมากินที่บ้าน ปัญหาที่เจอคือ รสชาตกินไม่ได้(ยอมรับเลยว่าแย่มากๆ ทั้งๆที่จ่ายแพง) ในอาหารมีเศษถ่าน ข้าวสวยเยอะมาก แต่กับข้าวน้อยมากกกก = คุณภาพแย่มาก ผมจึงไม่สั่งกินอีกเลย
แต่ในทางกลับกันผมเจอร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนึงราคากลางๆ(สั่งแกร๊ปประมาณ70 ชื่อร้านเกี๊ยวตร..) แต่ว่าคุ้มมากและอร่อยมาก ผมก็จะสั่งแต่ร้านนี้ และเคยไปซื้อที่ร้าน คนก็ค่อนข้างเยอะมาก หากเทียบกับ 2 ตัวอย่างจะเห็นบางอย่างนะครับ
.
4.ไม่ทั่วถึง : บางร้านมีจัดโปรโมชั่น เช่น ลดราคา แถม แล้ว แต่ทำไมยังขายไม่ได้ เพราะการโฆษณาอาจจะยังไม่ทั่วถึงและไม่ดีพอ อาจจะต้องแก้เพิ่มเติม (เพราะพอรู้แอบเสียดายมากๆ)
.
การแก้ไขคือ :
1.พฤติกรรมซ้ำๆ : เพราะการเสียเงินต้องไม่นำมาซึ่งปัญหา ความหงุดหงิด ความไม่สบายใจ รวมถึงรวมถึงเรื่องแย่ๆอื่นๆ ผมจึง
1.1สำหรับเรื่องอาหาร : ถ้าสั่งแกร๊ปก็จะสั่งแต่ร้านซ้ำๆ เดิมๆ แต่ถ้าเบื่อก็ซื้อของมาทำเอง(อันนี้คำนวณดีๆ ถูกกว่าสั่งแกร๊ป lineman foodpanda เยอะมากช่วยประหยัดได้เยอะ)
1.2สำหรับสิ่งของ : ก็สั่งshopee(ช่วงโปรโมชั่นถูกกว่าซื้อที่ร้านเยอะมาก) หรือ ซื้อ E-book แทน(จริงๆมันอ่านหนังสืแเป็นเล่มๆมันมีเสนห์ของมันนะ มีคนที่ชอบอ่านเป็นเล่มๆ เยอะเหมือนกัน แต่อาจจะด้วยการได้รับบริการ จึงทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรม)
.
2.หยุดใช้ตัง : ถ้าไม่ได้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ ก้อยู่แต่บ้านไม่ใช้เงินเลย(แต่อยากใช่ตัง)
.
สุดท้ายนี้ผมขอฝากหน่อยนะครับ
ที่พูดมาอาจจะเป็นเพียงมุมมองผมฝ่ายเดียว แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่อยากบอก ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์กับใครหลายๆคนผมจะดีใจมากๆ และ ผมเชื่อว่าในหลายๆพื้นที่มีคนที่เป็นแบบผม(ยังกล้าใช้เงิน)ยังเยอะ เพราะฉะนั้นลองปรับดูนะครับ
.
เริ่ม :
เนื่องจากปัจจุบันเกิดวิกฤตหลายๆอย่างในประเทศไทย ส่งผลให้อาจจะมีร้านค้า(ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขายหนังสือ ฯลฯ)อาจจะประสบเหตุการณ์แย่ๆหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ลูกค้าไม่มี ยอดขายตก กำไรแทบไม่เหลือ รวมไปถึงต้องปิดกิจการ ซึ่งสำหรับผู้ประกอบกิจการที่กำลังเจอเหตุการณ์แบบนี้ผมอยากให้รบกวนช่วยอ่านสิ่งที่ผมอยากเขียน เพราะอยากให้เข้าใจในมุมของผู้บริโภคด้วย ซึ่งเสียงของผมอาจจะเป็นเสียงเล็กๆแต่คิดว่ามีประโยชน์แน่ๆ
.
ในมุมผมฐานะผู้บริโภค(สำหรับผม) : สิ่งที่ผมเจอคือ
1.รายได้ต่อเดือนค่อนข้างลดลงทำให้การใช้จ่ายต้องระวังมากขึ้น อาจจะไม่ถึงกับงด(กินของอร่อย หรือ เที่ยว รวมถึงซื้อของเปย์ตัวเอง) แต่ก็ใช้จ่ายน้อยลง(ซึ่งตอนนี้หลายๆคนก็อาจจะเป็นแบบผม
2.นิสัยการบริโภคของผมคือสามารถซื้อของที่มีราคาได้ แต่ต้องอยู่ในconceptที่ว่า “คุ้มค่ากับการเสียเงิน” และ “ต้องสะดวกสบาย”
.
3.ผมไม่ค่อยมีแพลนในการซื้อของ(สำหรับของทั่วๆไป เช่น ของกิน ของราคาไม่แพง(ไม่เกิน2,000) ของฟุ่มเฟือยเล็กๆน้อยๆ)ถ้าอยากซื้อคือเป็นความคิดเดี๋ยวนั้นจริงๆแล้วซื้อเลย
.
4.WFH มาเป็นแรมปี แทบจะไม่ได้ออกจากบ้านอยู่แล้ว การกิน การซื้อจะค่อนข้างเหมือนเดิมและซ้ำๆ
.
ปัญหาที่เจอคือ :
1.ซื้อของเยอะแต่บางร้านไม่ให้ถุง : ถามจริงผู้บริโภคอุส่าห์เอาเงินมาให้ทำไมถึงไม่บริการสักหน่อย อาจจะไม่ใช่ถุงพลาสติกเพราะโลกร้อน แต่มันมีทางเลือกให้อีก เช่น ถุงกระดาษ หรือ ถุงพลาสติกแบบย่อยง่าย(ต่างประเทศใช้อันนี้กันเยอะ) เพราะฉะนั้นครั้งหน้าผมจะไม่มาซื้อร้านนี้อีก เพราะมีทางเลือกอื่นให้ผมเลือก เช่น สั่งออนไลท์ หรือ ไปร้านอื่นที่บริการดีกว่า
.
2.ราคาไม่คุ้มกับของที่ได้ : ผมเข้าใจว่ามันอาจจะเป็นราคามาตรฐานของร้านในเหตุการณ์ปกติ แต่อย่าลืมนะครับว่าปัจจุบันมัน”ไม่ปกติ” ดังนั้นอาจจะลดราคาลงมาหน่อยให้ผู้บริโภคสามารถเอื้อมถึงได้ง่ายขึ้น เช่น
โดยปกติ สินค้าราคา100บาท
ต้นทุนของสินค้าราคา 80บาท
เท่ากับ กำไรขั้นต้น 20 บาท
อาจจะมีค่าใช้จ่ายต่างๆ(เช่นเงินเดือนพนักงาน ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเช่า) เป็น ราคา 5 บาท
เท่ากับจะมีกำไรสุทธิ 15 บาท
ดังนั้นผมอาจจะเสนอว่าอยากให้ลดราคาขายลงมา อาจจะเหลือ90 หรือ 85 บาท
ใช่ครับกำไรมันอาจจะน้อยหน่อย แต่ถ้ามันทำให้สามารถประคองร้านต่อไปได้อีกหน่อย ก็ถือว่า โอเคใช่ไหมครับ
.
3.สินค้าไม่ได่มาตรฐาน : ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่กลับมาซื้ออีกแน่นอน สิ่งที่เจอมาคือมีร้านโอ..(ขออนุญาต เพื่อเป็นเคสตัวอย่างนะครับ) ทุกครั้งเวลาผมหิว(ในเหตุการณ์ปกติ) ผมจะนึกถึงร้านนี้เสมอ และไปทานที่ร้านตามห้าง และทุกครั้งที่ไปกินก็ชอบมากๆ แต่ราคาค่อนข้างแพงซึ่งตอนเหตุการณ์ปกติผมก็รับได้อยู่นะเพราะมันตอบสนองneedผมได้ แต่ตอนนี้กินที่ร้านไม่ได้ ผมเลยสั่งแกร๊ปมากินที่บ้าน ปัญหาที่เจอคือ รสชาตกินไม่ได้(ยอมรับเลยว่าแย่มากๆ ทั้งๆที่จ่ายแพง) ในอาหารมีเศษถ่าน ข้าวสวยเยอะมาก แต่กับข้าวน้อยมากกกก = คุณภาพแย่มาก ผมจึงไม่สั่งกินอีกเลย
แต่ในทางกลับกันผมเจอร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนึงราคากลางๆ(สั่งแกร๊ปประมาณ70 ชื่อร้านเกี๊ยวตร..) แต่ว่าคุ้มมากและอร่อยมาก ผมก็จะสั่งแต่ร้านนี้ และเคยไปซื้อที่ร้าน คนก็ค่อนข้างเยอะมาก หากเทียบกับ 2 ตัวอย่างจะเห็นบางอย่างนะครับ
.
4.ไม่ทั่วถึง : บางร้านมีจัดโปรโมชั่น เช่น ลดราคา แถม แล้ว แต่ทำไมยังขายไม่ได้ เพราะการโฆษณาอาจจะยังไม่ทั่วถึงและไม่ดีพอ อาจจะต้องแก้เพิ่มเติม (เพราะพอรู้แอบเสียดายมากๆ)
.
การแก้ไขคือ :
1.พฤติกรรมซ้ำๆ : เพราะการเสียเงินต้องไม่นำมาซึ่งปัญหา ความหงุดหงิด ความไม่สบายใจ รวมถึงรวมถึงเรื่องแย่ๆอื่นๆ ผมจึง
1.1สำหรับเรื่องอาหาร : ถ้าสั่งแกร๊ปก็จะสั่งแต่ร้านซ้ำๆ เดิมๆ แต่ถ้าเบื่อก็ซื้อของมาทำเอง(อันนี้คำนวณดีๆ ถูกกว่าสั่งแกร๊ป lineman foodpanda เยอะมากช่วยประหยัดได้เยอะ)
1.2สำหรับสิ่งของ : ก็สั่งshopee(ช่วงโปรโมชั่นถูกกว่าซื้อที่ร้านเยอะมาก) หรือ ซื้อ E-book แทน(จริงๆมันอ่านหนังสืแเป็นเล่มๆมันมีเสนห์ของมันนะ มีคนที่ชอบอ่านเป็นเล่มๆ เยอะเหมือนกัน แต่อาจจะด้วยการได้รับบริการ จึงทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรม)
.
2.หยุดใช้ตัง : ถ้าไม่ได้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ ก้อยู่แต่บ้านไม่ใช้เงินเลย(แต่อยากใช่ตัง)
.
สุดท้ายนี้ผมขอฝากหน่อยนะครับ
ที่พูดมาอาจจะเป็นเพียงมุมมองผมฝ่ายเดียว แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่อยากบอก ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์กับใครหลายๆคนผมจะดีใจมากๆ และ ผมเชื่อว่าในหลายๆพื้นที่มีคนที่เป็นแบบผม(ยังกล้าใช้เงิน)ยังเยอะ เพราะฉะนั้นลองปรับดูนะครับ
สมาชิกหมายเลข 1777858
10 กรกฎาคม เวลา 00:24 น.
10 กรกฎาคม เวลา 00:24 น.
แหล่งที่มา pantip.com
ถ้าใช่ร้านที่ผมคิด
คุณควรเลิกกินได้แล้ว
ราคากับคุณภาพไม่สัมพันธ์กันเลย
ปัจจุบันมีร้านแนวนี้ออกมาเยอะแยะ
ลดราคาแข่งกันมากมาย
ถ้าคุณอ้างว่า คุณคง concept ที่ว่า “คุ้มค่ากับการเสียเงิน”
คุณต้องเลิกกินร้านนี้ครับ
10 กรกฎาคม เวลา 11:20 น.
ส่วนร้านไหนอร่อยจริงๆ เจ๊งยากครับ
แม้จะไม่เปิดให้นั่งคนเขาก็สั่งกลับ หรือสั่งให้คนมาส่ง
10 กรกฎาคม เวลา 14:00 น.
ร้านขายส่ง ขายราคานี้ ยังขาดทุนเลย
บางร้าน ขายเดลิเวอรี่ ให้น้อย แถมห่วยจริง
ก็เลิกซื้อ ไปซื้อเจ้าอื่นแทน
16 กรกฎาคม เวลา 01:14 น.
8 สิงหาคม เวลา 22:54 น.