เชฟไทยไกลบ้าน ประสบการณ์การทำงานร้านอาหารที่ประเทศสวีเดน กลการโกง ตอนที่ 9
ตอนที่ 1 ถึงตอนที่ 4 ตามจากลิ้งค์ข้างล่างนี้นะครับ
https://pantip.com/topic/40533846/comment14-2
ตอนที่ 5 ตามจากลิ้งค์ข้างล่างนี้นะครับ
https://pantip.com/topic/40562382
ตอนที่ 6
https://pantip.com/topic/40570508/comment2-1
ตอนที่ 7
https://pantip.com/topic/40578521
ตอนที่ 8
https://pantip.com/topic/40595193
ตอนที่ 9
หลังจากที่เราได้ไปทำงานที่ร้านใหม่ เราก็รู้จักคนไทยมากขึ้น คนที่เขารู้เรื่องของเราทั้งสองคนก็เข้ามาพูดคุย แล้วก็อยากรู้ความจริงจากปากเรา และเจ้าของร้านใหม่ที่เรามาอยู่ด้วย ก็ช่วยแก้ข่าวให้เราด้วย ก็คือพูดความจริงว่าเรื่องทุกอย่างมันเกิดอะไรขึ้น ความจริงก็คือความจริง เป็นเรื่องที่ดีมากเลย คือว่ามีพี่ที่มาอยู่สวีเดนมาประมาณ 30กว่าปีแล้ว และก็มีสามีเป็นคนสวีเดน มีลูกสาวที่เป็นลูกครึ่งที่เกิดที่สวีเดน เพิ่งจะเรียนจบทางด้านกฎหมายมา แล้วกับผมสองคนเขาก็รู้จักกับเราดี และเห็นเราสองคนตั้งแต่เขายังเรียนไม่จบ แล้วน้องเขาก็รู้เรื่องของเราทั้งสองคนด้วยในเรื่องการทำงานของเรา ตั้งแต่เรามาเป็นเจ้าของร้าน จนมาถึงเจ้าของ ณ ปัจจุบัน น้องที่เรียนจบกฎหมายมา เห็นว่าผมสองคนเหมือนโดนกระทำมาตลอด เขาก็คิดว่าทำไมผมสองคนไม่มีการตอบโต้กลับบ้าง แต่แม่เขาก็บอกว่าเพราะว่าเขาสองคนไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือมาช่วยและอีกอย่างหนึ่งคือไม่มีใครกล้ามายุ่งเรื่องแบบนี้ และเรื่องมันจะไม่จบง่ายๆ
* น้องเขาเลยบอกกับแม่ว่า หนูขออนุญาตแม่ว่าหนูจะช่วยพี่เขาสองคนได้มั้ย ถ้าแม่อนุญาตหนูก็จะหาทางช่วยเขาสองคน แม่เขาก็ถามว่าทำไมอยากช่วยเขา เขาตอบว่าสงสารพี่สองคน แม่เขาก็เลยตอบว่า ถ้าหนูอยากช่วยแม่ก็ไม่ขัด เพราะน้องเขากลัวว่าแม่ตัวเองจะเดือดร้อน เพราะว่าแม่ก็รู้จักกับพวกเจ้าของร้านเดิม สุดท้ายแม่ก็อนุญาต เพราะน้องเขาเรียนด้านกฎหมายมาจึงรู้ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ เราสองคนโดนเขาเอาเปรียบและเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และน้องเขาเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะชนะคดี และถูกต้อง ไม่อย่างนั้นน้องเขาคงจะไม่กล้าที่ขจะมาช่วยเราหรอก เพราะน้องเขาก็ไม่ได้อะไรจากตรงนี้ แค่อยากเห็นความถูกต้อง ที่คนไทยทำกับคนไทยด้วยกันเอง
* ต่อมาน้องก็ขอเอกสารหลักฐานของเราสองคนทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เพื่อเอาไปทำสำนวนและไปปรึกษากับทนายความ ซึ่งน้องบอกว่า เราทั้งสองคนจะมีทนายความที่จะช่วยเราเป็นแบบทนายเอื้ออาทร เหมือนกับว่าเราจะมีค่าใช้จ่ายแค่ 40%เท่านั้น ตอนนั้นน้องเขาก็ช่วยเราเต็มที่ โดยให้แม่ของน้องแปลเป็นไทยจากเราให้เป็นสวีเดนอีกที เพราะน้องพูดไทยไม่ได้เลย กลายเป็นว่าแม่เป็นล่ามให้ผมสองคน พอสำนวนเสร็จ ทางทนายก็ส่งมาให้เราสองคนดูว่าจะโอเคมั้ย เพราะว่าตอนนั้นทางเจ้าของร้าน จะเก็บเงินเราสองคนที่เป็นค่าอาหารตั้งแต่ที่เราทำมาตลอด และจะไม่จ่ายเงินเก่า 75,000 โครน ให้เราคืน เท่ากับว่า เขาจะเก็บค่าอาหารเรา ประมาณ คนละ 40,000 โครน กว่าๆ กับ เงินเก่าเรา อีก 75,000 โครน ทางทนายเขียนสำนวนมาประมาณว่า หนี้เก่าที่เขายังไม่ชำระเรา ก็มีหลักฐานว่าไม่มี เงินเข้าบัญชีเราในยอดนี้เลย ตั้งแต่เจ้าของเก่า ส่วนค่าอาหารก็ไม่สามารถเรียกเก็บจากพนักงานได้ เนื่องจากไม่มีสัญญาที่เซ็นกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง และทางร้านได้ทำการจ่ายภาษีในส่วนของเราสองคนกับกรมสรรพากรไม่ถูกต้อง (ก็คือการเลี่ยงภาษีนั่นเอง)
* และทางทนายก็เลยเรียกร้องเพิ่มเติมให้อีกคือ ทางนายจ้างไม่เคยจ่ายเงินค่าพักร้อนให้กับเราสองคนเลย ตลอดการทำงานมาสองปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกฎหมายที่สวีเดน ก็คือนานจ้างจะต้องจ่ายเงินค่าพักร้อนให้กับลูกจ้างเป็นจำนวน 12% ของเงินเดือน คิดค่าเฉลียออกมาทั้งหมด 12เดือน ก็จะเหมือนกับโบนัสบ้านเรา อันนี้ทางสวีเดนเป็นข้อบังคับ ทุกบริษัทจะต้องจ่ายเงินค่าพักร้อน ตกลงเราสองคนถูกเขากระทำมาโดยตลอด เราก็อุตส่าห์ไม่คิดอะไรมาก ถ้าไม่เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมา และคืนเงินเรามาก็จบตั้งแต่แรก แต่นี่ไม่ยอมคืนเงินเราคิดว่าเราสองคนไม่รู้เรื่องกฎหมาย แต่เขาไม่รู้เลยว่า เราก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะมาหลอกเราได้ตลอดเวลา เราก็เข้าไปศึกษากฎหมายของสวีเดนมาตลอดในการหาข้อมูลต่างๆ ทางโซเชียล แค่บางอย่างเราก็ปล่อยไปหยวนๆกันไป ไม่อยากคิดอะไรมาก คนไทยด้วยกัน อย่างน้อยเราก็เคยเป็นเจ้าของร้านมาก่อน เราก็คิดว่าเขาจะมีความจริงใจกับลูกน้องมากกว่านี้ แต่พอเราเจอแบบนี้ เราก็ไม่ทนอีกต่อไป แถมยังจะมาเก็บค่าอาหารอีก
* พอเรื่องถึงทนายความ ทางทนายก็สืบเพิ่มเติมว่ามีอะไรอีกที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าที่สวีเดนทนายสามารถเข้าไปสืบข้อมูลส่วนบุคคลได้ และเข้าไปสืบข้อมูลของร้านได้เลยว่ามีอะไรหมกเม็ดอีกหรือเปล่า และยังมีเรื่องที่เขาใส่ความผมสองคนอีกว่า ที่เขากินยานอนหลับเพราะว่าผมสองคน ก็คือหมิ่นประมาท ผมก็ยังนึกเลยว่า เรามีอิทธิพลกับเขาได้ขนาดนั้นเลยเหรอที่จะทำให้เขากินยาฆ่าตัวตาย ขนาดพ่อแม่เรายังไม่สามารถมาบังคับให้เรากินได้เลย
* ต่อจากนี้ทนายเขาก็ทำไปตามกฎหมาย และทางทนายก็ยังถามเราอีกว่า เขาจะไปเจรจาก่อน ถ้าเขายอมจ่าย ก็จะไม่ขึ้นศาล กรณีที่สวีเดน ถ้าขึ้นศาลแล้วก็ต้องสู้กันถึงที่สุด และค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นอีกเยอะมากๆ และถ้าใครเป็นผู้แพ้คดีความ ผู้แพ้จะเป็นผู้จ่ายค่าทนายและดอกเบี้ยของทั้งสองฝ่ายเลย ทนายบอกว่า เขาจะเรียกร้องให้กับเราสองคน โดยแบ่งเป็นสามระดับ คือ
1. ระดับแรกน้อยสุดคือ เอาเงิน 75,000 โครน เราคืน
2. เอาเงิน 75,000โครน และเงินพักร้อนอีก
3. เอาเงินทั้งหมดเท่าที่จะได้ ข้อ 1และ ข้อ2 ค่าทนาย ดอกเบี้ย อื่นๆอีกเยอะเลย
* ถ้าไม่เลือกทั้งสามข้อเลย สุดท้ายก็จะเข้าสู้กระบวนการยุติธรรม ก็คือขึ้นศาลเลย ถ้าเป็นคนทั่วไป คิดว่าจะเลือกแบบไหน เพราะเขาเองเขาก็มีสามีฝรั่ง สามีเขาน่าจะรู้ดีว่า ถ้าขึ้นศาลแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เพราะสามีเขาเป็นคนไปพูดไปทั่วเลยว่าผมสองคนเป็นแบบนั้นแบบนี้ ยิ่งเรื่องหมิ่นประมาทเรื่องฆ่าตัวตายอีก สุดท้ายเขาก็ต้องเลือก โดยทนายได้นัดคุยกับเจ้าของร้าน ระหว่างเจ้าของร้านและทนายของเขา กับทนายของเรา ซึ่งเราสองคนไม่ต้องไปพบเขา ทางทนายจัดการคุยเองทั้งหมด สุดท้ายเราเคยบอกกับทนายว่า ถ้าเขาพูดดีและไม่มีปัญหา เราก็แค่อยากได้เงินเก่าเราคืนแค่นั้นก็จบ คือแค่ 75,000 โครนเท่านั้น หลังจากทนายได้คุยกันแล้ว ทนายกลับมาบอกกับเราสองคนว่า เขายอมที่จะจ่ายเป็นเงินค่าพักร้อนให้กับเราสองคน เป็นจำนวนเงิน 1 แสนกว่าๆ มากกว่าเงินหนี้เก่าของเรา ทางทนายฝ่ายเราให้เหตุผลที่ว่า เงิน 75,000 โครนนั้น มันไม่มีเป็นลายลักษณ์อักษรที่แน่นอน ฉนั้นทนายจึงตัดสินใจที่จะเอาเป็นเงินค่าพักร้อนที่เป็นไปตามกฎหมายจะดีกว่า กลับกลายเป็นว่าถ้าเขาจ่ายเราตั้งแต่แรก เขาก็จ่ายน้อยกว่าและไม่เป็นเรื่องเป็นคดีกันอีกด้วย แถมยังไม่ต้องจ่ายค่าทนายอีก คือทนายทั้งสองฝ่ายพูดตรงกันว่า อย่าขึ้นศาลเป็นดีที่สุด และก็คิดตรงกันว่าใครจะเป็นคนแพ้คดี ก็รู้ๆกันอยู่
* สุดท้ายเขาก็จ่ายเรามาเป็นเงินจำนวน 1 แสนกว่าๆ หักภาษีแล้ว ก็เหลือประมาณ เก้าหมื่นกว่าๆ แต่เขาเสียอีกเยอะ เพราะว่าเขาต้องเสียค่าทนายในส่วนของเขาอีก และภาษีอีกด้วย ส่วนเราสองคนก็มีค่าใช้จ่ายแค่ในส่วนของทนาย 40 เปอร์เซ็นต์ ในการทำคดีในครั้งนี้ ก็เป็นยอดหลักหมื่นเหมือนกัน เพราะว่าทนายของสวีเดน จะคิดราคาเป็นชั่วโมง แค่คุยกันเรื่องคดี หรือปรึกษา ก็คิดราคาแล้ว รวมนาทีเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว ถ้าเราไม่ได้ทนายแบบนี้ เราคงไม่มีเงินไปจ้างทนายแน่นอน เพราะว่าค่าใช้จ่ายแพงมากๆ
* ส่วนน้องที่ยื่นม์อมาช่วยเรา น้องเขาก็ไม่ต้องการอะไร เพราะว่าเขาแค่อยากช่วย และเราสองคนก็เป็นเพื่อนกับแม่ของเขาด้วย โดยที่เราสองคนก็เกรงใจ แต่ก็ซื้อของขวัญเล็กๆน้อยๆไปให้เขาแค่นั้นเอง
* หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป คดีอะไรก็ไม่มีแล้ว เราสองคนก็ไปทำงานที่ร้านใหม่แทบทุกวัน แต่ต้องเดินทางไปทำงานอีกเมืองหนึ่งซึ่งห่างจากบ้านเราประมาณ 30 กว่ากิโล ขึ้นรถเมล์ไปกลับทุกวัน แต่ข่าวของเรามันก็ยังมีมาเข้าหูอยู่เรื่อยๆ มีแบบนี้คือ เขาไปบอกกับคนอื่นๆว่า เราสองคนเข้าไปขอร้องให้เขาไม่ฟ้องเราสองคน และขอยอมไกล่เกลี่ย และขอโทษ เขาเลยให้เงินมาจำนวนหนึ่งและเราสองคนก็เลยยอม ซึ่งเราสองคนก็ไม่อยากให้มันเกิดเรื่องอะไรอีก ก็ปล่อยไปให้เขาพูดไปเดี๋ยวเขาเหนื่อยเขาก็คงจะลืมๆไปเอง พยายามไม่สนใจเป็นดีที่สุด ดีชั่วตัวเราและเขารู้ตัวเองอยู่ว่าใครทำอะไรไปบ้าง
* แต่เรื่องมันก็จบไปแล้ว แต่ทำไมเจ้าของคนแรกที่เรามาร่วมหุ้นกับเขายังไม่จบ ทั้งๆที่ไม่มีอะไรต่อกันนานแล้ว กลายเป็นว่า คนแพ้ไม่ยอมแพ้ ก็รวมหัวกันที่จะกลั่นแกล้งเราต่อ ทำอะไรก็ได้ ให้เราสองคนไม่ได้ใบอยู่หรือต่อวีซ่าครั้งต่อไปได้ พยายามทุกวิถีทาง มีอยู่ประเด็นหนึ่งก็คือ เราสองคนจะต้องไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์แถวบ้าน เพื่อที่จะไปทำงาน เจ้าของที่เป็นหุ้นส่วนเราคนแรก เขามีสามีเก่าที่เป็นคนเก่าแก่ในเมืองนี้ ให้ขับรถมาแสดงให้เราเห็นว่า เขาตามเราสองคนอยู่นะ ขับรถวนไปวนมาบริเวณป้ายรถเมล์ให้เราเห็นว่าเขามาแบบตั้งใจนะ เหมือนกดดันเราให้เรากลัว และเวลาขากลับจากที่ทำงานตอนที่เราลงรถเมล์ มันก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว เขาก็จะรู้ว่าเรากลับเวลาไหน เขาก็จะขับรถมาวนบริเวณที่เราลงรถอีกตามเคย เป็นแบบนี้แทบทุกวัน ซึ่งเราสองคนก็คิดว่า อาจจะเป็นอันตรายกับตัวเราแน่ ต้องมีสักวันแน่เลย ตอนนั้นเราก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยปรึกษากับเจ้าของร้านใหม่ เจ้าของร้านเลยจัดหาห้องใหม่ให้เรา โดยเช่าห้องให้เราใหม่ที่อยู่ใกล้ๆ กับร้าน เพื่อที่จะให้เราไม่ต้องเดินทางไปกลับ และจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก เอาแค่วันหยุดก็ค่อยกลับมาบ้านตัวเองบ้าง แต่ไม่ต้องเดินทางกลับทุกวัน เพราะว่ามันอันตราย
* หลังจากนั้นเราก็ย้ายมาอยู่ที่เมืองแห่งใหม่ ใกล้กับร้านนิดเดียว ตอนนั้นคนไทยที่รู้เรื่องของเราสองคน ก็แวะมาอุดหนุนให้กำลังใจและพูดคุยกับเรื่องที่เราเจอมา มันก็เหมือนกับเราได้เริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง แต่พวกนั้นก็ไม่หยุดเหมือนเดิม เรื่องมันก็ไม่จบแต่เพียงเท่านี้นะครับ ตอนต่อไปก็จะเป็นประสบการ์ณต่อเนื่อง หลังจากมาทำที่ร้านใหม่และเมืองใหม่ จะเป็นยังไงต่อไป เจ้ากรรมนายเวรเราสองคนก็เกาะเราอย่างเหนียวแน่น และกรรมของเราสองคนก็ยังไม่หมด ยังมีต่อไปอีก
* ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะครับ บางตอนอาจจะช้าหน่อย เพราะว่าต้องเรียบเรียงนิดนึง ว่าอันไหนมาก่อนมาหลัง เรื่องราวมันยาวและมันก็นานหลายปีแล้ว พยายามจะเล่าให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จำทำได้นะครับ อย่าเพิ่งเบื่อกันไปก่อนนะครับ
ขอบคุณมากครับ
31 มีนาคม เวลา 17:22 น.
ลุ้น และติดตาม เอาใจช่วยค่ะ
ยังชื่นชม ในความอดทนของ
คุณทั้งสองคน นะคะ
1 เมษายน เวลา 13:32 น.
1 เมษายน เวลา 14:20 น.
ขอบคุณที่เข้ามาแชร์
1 เมษายน เวลา 23:53 น.
2 เมษายน เวลา 00:34 น.
เชื่อว่าตอนนี้ จขกท คงผ่าเรื่องแย่ๆและความลำบากมาแล้ว
เอาใจช่วย สู้ๆครับ
3 เมษายน เวลา 06:54 น.
3 เมษายน เวลา 15:53 น.
5 เมษายน เวลา 11:39 น.
คุณอดทนมากๆ
ขอให้พระคุ้มครองนะคะ
6 เมษายน เวลา 04:09 น.
6 เมษายน เวลา 04:49 น.
https://pantip.com/topic/40636223
11 เมษายน เวลา 12:23 น.